เรื่องเล่าด่านรันตู ประจำวันที่ 6 ธันวาคม 2563

เรื่องเล่าด่านรันตู ประจำวันที่ 6 ธันวาคม 2563

วันที่นำเข้าข้อมูล 7 ธ.ค. 2563

วันที่ปรับปรุงข้อมูล 30 พ.ย. 2565

| 430 view

เช้านี้ ไม่มีผู้ลงทะเบียนกลับไทยวันที่ ๖ ธ.ค. ๖๓
     การแพร่ระบาดโควิดใน มซ. วันที่ ๕ ธ.ค. มีสถิติต่ำกว่าเมื่อวานเล็กน้อย โดยมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ ๑,๑๒๓ คน มีผู้ติดเชื้อสะสม ๗๑,๓๕๙ คน ผู้เสียชีวิตสะสม ๓๘๐ คน (เพิ่มขึ้น ๔ คน) (สถิติข้อมูลการระบาดโควิด รูป ๑)
     รบ. มซ. ประกาศขยายเวลาบังคับใช้มาตรการควบคุมการสัญจรแบบมีเงื่อนไข (Conditional Movement Control Order - CMCO) ในกรุงกัวลาลัมเปอร์ พื้นที่ส่วนใหญ่ในรัฐสลังงอร์ และรัฐซาบาห์ จากเดิมที่มีกำหนดสิ้นสุดหลังวันที่ ๖ ธ.ค. ๖๓ เป็นสิ้นสุดหลังวันที่ ๒๐ ธ.ค. ๖๓ และประกาศยุติการบังคับใช้มาตรการ CMCO ในรัฐที่เหลือ รวมทั้งรัฐกลันตัน ยกเว้นเมืองโกตาบารู ปาเซมัส มาจัง และตะนะห์เมระห์ ที่ยังมีการบังคับใช้มาตรการ CMCO ต่อไปตั้งแต่วันที่ ๗ – ๒๐ ธ.ค. ๖๓ สำหรับวันที่ ๕ ธ.ค. ๖๓ ในรัฐกลันตันมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นวันเดียว ๓๕ คน และมีพื้นที่สีแดงเพิ่ม คือ อ. ปาเซปูเต๊ะ
     ตั้งแต่วันที่ ๗ ธ.ค. ๖๓ เป็นต้นไป รบ. มซ. จะยกเลิกด่านตรวจการเดินทางข้ามรัฐทั้งหมด โดย ปชช. จะสามารถเดินทางข้ามเขต/รัฐได้แล้ว รวมทั้งยกเลิกการจำกัดจำนวนผู้โดยสารในรถยนต์ส่วนตัว (๓ คน/รถยนต์ ๑ คัน) โดยสามารถนั่งได้ตามจำนวนที่ กม. กำหนดสำหรับรถยนต์แต่ละประเภท
     หลังโควิด การฟื้นฟู ศก. ปี ๖๔ ดูจะเป็นปัญหาท้าทาย รบ. ไทยเป็นอย่างมาก มุมมองและข้อเสนอแนะของต่างชาติจึงมีความสำคัญในการช่วยให้ รบ. ไทยแก้ปัญหาได้อย่าง “เกาถูกที่คัน” และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
     เรื่องเล่าด่านรันตู วันนี้จึงขอเสนอเรื่อง “เทศมอง ศก. ไทยฟื้นหรือฟุบ หลังโควิด” ตามที่ นสพ. กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ ๕ ธ.ค. ๖๓ ได้รายงานเรื่อง 'ศก.ไทย' ในสายตาโลกก้าวให้ข้าม ผ่านสิ่งท้าทายให้ได้ (ศก.ไทยในสายตาโลก รูป ๒)
     องค์การการค้าโลก (WTO) ได้จัดทำรายงาน Trade Policy Review สำหรับไทยในฐานะสมาชิกWTO โดยไม่มีผลผูกพันทาง กม. เกี่ยวกับสิทธิและพันธกรณีของสมาชิก และไม่มีนัยทาง กม. ว่า มาตรการที่กล่าวถึงในรายงานสอดคล้องกับความตกลงในกรอบ WTO หรือไม่
     สำหรับรายงานที่เผยแพร่เมื่อ ๒๔ พ.ย. ๖๓ มีสาระสำคัญที่กล่าวถึงโครงสร้าง ศก. ไทยบนพื้นฐานข้อมูลปี ๖๒ พบว่า ประเทศไทยช่วง ๕ ปี (๒๕๕๘-๒๕๖๒) มีอัตราขยายตัว ศก. เฉลี่ยปีละ ๓.๔% ปัจจัยหลักๆ มาจากการบริโภคภาคเอกชนและการส่งออก และยังมีโครงสร้างของภาคบริการรวมถึงการก่อสร้าง ในสัดส่วนถึง ๖๑% ต่อจีดีพี ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี ๕๘ ที่ ๕๘% ขณะที่สัดส่วนจากภาคการผลิตและการเกษตรต่อจีดีพีมีแนวโน้มลดลง (โครงสร้าง ศก. ของไทย รูป ๓)
     นอกจากนี้ พบว่าคนไทยมีรายได้เฉลี่ยปี ๖๒ อยู่ที่ ๘,๐๐๐ ดอลลาร์/คน/ปี หรือเฉลี่ยที่ ๒๔๐,๐๐๐ บาท ซึ่งเป็นแรงขับให้ไทยอยู่ในกลุ่ม ปท.มีรายได้ปานกลางระดับบน อย่างไรก็ตาม ไทยกำลังเผชิญกับการดิ่งตัวทาง ศก. จากปัจจัย ศก. โลกชะลอตัวและการค้าระหว่างประเทศที่อยู่ในสถานการณ์ตึงเครียด ซึ่งเป็นผลทำให้การส่งออกหดตัว เช่นเดียวกับการลงทุนและการบริโภค แต่ รบ. ไทยได้ออกมาตรการพยุงสถานการณ์เพื่อให้ ศก. เติบโตในช่วงครึ่งปีหลังของปี ๖๒
     ขณะที่ ปี ๖๓ ไทยก็ยังต้องเผชิญกับความยากลำบากจากโควิด-๑๙ ที่ทำให้การค้าโลกหดตัว ส่งผลต่อไทยในหลายด้านทั้งการส่งออกสินค้า ภาคการท่องเที่ยว ที่เป็นฟันเฟืองหลักในการขับเคลื่อนจีดีพีประเทศ ซึ่งได้รับผลกระทบอย่างหนัก กระทั่งผลกระทบต่อการจ้างงานอยู่ในภาวะเสี่ยง ต่อเนื่องไปถึงการบริโภค การหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานโลก (global supply chains) และการลงทุนที่หดตัว นำไปสู่ความไม่แน่นอนของดีมานด์ในตลาด การจ้างงานและรายได้ประชาชนที่อยู่ในภาวะอ่อนแอ (ทั่วโลกใช้ “บาซูก้าการคลัง” เยียวยา ศก. รูป ๔)
     จากปัญหาต่างๆ นำไปสู่การออกแพ็คเกจพยุง ศก. ที่คิดเป็นสัดส่วน ๑๔% ของมูลค่าจีดีพี และหลายหน่วยงานทาง ศก.ของไทยประเมินว่าปีนี้ จีดีพีจะติดลบที่ ๘.๑% เนื่องจากองค์ประกอบทาง ศก. ต่างๆ ได้รับผลกระทบ และมีการประเมินอีกว่า การจ้างงาน ๘.๔ ล้านตำแหน่งอยู่ในภาวะเสี่ยง (งบกระตุ้น ศก. ๑.๙ แสนล้านบาท รูป ๕)
     ทั้้งนี้ ฐานะทางการคลังของไทยมีทุนสำรองระหว่างประเทศที่สูงถึง ๒๒๔.๓ พันล้านดอลลาร์ เมื่อสิ้นปี ๖๒ ทำให้เกิดแรงกดดันต่อค่าเงินบาทที่แข็งค่า และเป็นเเรงกดดันต่อขีดการแข่งขันทางการค้าระหว่างประเทศแม้ว่าเงินบาทอ่อนค่าลงในช่วงต้นปีจากการระบาดโควิดก็ตาม (รูปแบบการฟื้นตัว ศก.โลก หลังโควิด รูป ๖)
     “ก็ต้องขอบคุณ รบ. ไทยที่เคร่งครัดกับวินัยทางการคลัง ช่วงที่ผ่านมา มีการออก กม. ว่าด้วยความรับผิดชอบทางการคลัง หรือ Fiscal Responsibility Act (FRA) ที่เข้มงวดเรื่องเป้าหมายหนี้ การใช้งบประมาณ และการลงทุนต่างๆ”
     ด้านการลงทุนตรงจากต่างประเทศ (FDI) ของไทยมีแต้มต่อจากสถานะการเป็นตัวเชื่อมสำคัญของอาเซียนและภูมิภาค ที่กลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การลงทุนไทยออกไปนอก ปท. เพิ่มขึ้น และส่งให้ไทยอยู่ในฐานะเป็นผู้ส่งออกการลงทุนแห่งหนึ่ง (การเติบโตของ Real GDP ด้านการใช้จ่ายและการผลิต รูป ๗)
     เนื้อหาในรายงานได้มองไปถึงสถานการณ์ข้างหน้าว่า ศก. ไทยต้องเผชิญกับความท้าทายที่สำคัญ จากโครงสร้าง ศก. ภายใน ปท. ที่มีข้อจำกัด ได้แก่ ระดับการลงทุนทั้งภาครัฐและเอกชนที่ต่ำ และยังถมทับด้วยผลความเสียหายจากภัยธรรมชาติและความตึงเครียดทางการเมือง ที่ประเมินว่ามีผลต่อภาพรวม ศก. ไทย
    ประเทศไทยยังเผชิญกับปัจจัยท้าทาย ว่าด้วยประเด็นความไม่เท่าเทียมทั้งเรื่องรายได้ที่มีความไม่เสมอภาค ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา และซ้ำเติมด้วยปัญหาภาระทางการคลัง ว่าด้วยการใช้จ่ายสำหรับกลุ่มประชากรสูงอายุซึ่งจะเป็นปัญหาต่อโครงสร้างตลาด รง. ในอนาคต
     ปัจจัยท้าทายอีกประการคือ ความพยายามเพิ่มผลิตผล และขีดการแข่งขัน ซึ่งต้องเพิ่มการลงทุนทั้งภาครัฐและเอกชน การเพิ่มการค้าและการลงทุนที่เสรี รวมถึงการดึงภาคบริการให้มีสัดส่วนต่อ ศก. ให้มากขึ้น
     “ประเทศไทยกำลังขับเคลื่อนประเทศด้วยการนำนโยบาย ‘ไทยแลนด์ ๔.๐’ ที่ว่าด้วยการองค์ความรู้ทางเทคโนโลยี มาเป็นพื้นฐานสำคัญของภาค อก. การยกระดับโครงสร้างทางกายภาพ”
     ที่ผ่านมาไทยทำข้อตกลงการค้าเสรีในหลายกรอบ รวมถึงความพยายามปรับกฎระเบียบเพื่ออำนวยความสะดวกทางการค้า เช่น พิธีการศุลกากร แต่ในทางกลับกัน พบว่า ด้านระเบียบเพื่อการลงทุน หรือการทำธุรกิจจากต่างประเทศกลับไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ เช่น การเข้มงวดการถือหุ้นของต่างด้าวในธุรกิจต่าง ๆ เช่น สื่อ เหมืองแร่ บริการทางการเงิน โทรคมนาคม ท่องเที่ยวและขนส่ง เป็นต้น
     ด้านการกำหนดอัตราภาษี ก็พบว่าการกำหนดภาษีของไทย (MFN tariff) มีแนวโน้มสูงขึ้น โดยปี ๕๗ อัตราภาษีเฉลี่ยอยู่ที่ ๑๓.๔% แต่ในปี ๖๓ เพิ่มขึ้นเป็น ๑๔.๕% ส่วนการนำเข้าก็ยังมีเงื่อนไขต่างๆ เช่น การขอใบอนุญาต การกำหนดโควตาภาษีสินค้าบางตัว
     จากความท้าทายต่างๆ กำลังเป็นตัวเร่งให้ไทยก้าวสู่การเปลี่ยนผ่าน (transformation) แต่จะทำได้หรือไม่ การนำมุมมองจากภายนอก ปท. มาร่วมพิจารณา ก็เป็นทางลัดที่จะช่วยให้เป้าหมายประสบความสำเร็จได้เร็วขึ้น

รูปภาพประกอบ

รูปภาพประกอบ