เรื่องเล่าด่านรันตู ประจำวันที่ 18 มกราคม 2564

เรื่องเล่าด่านรันตู ประจำวันที่ 18 มกราคม 2564

วันที่นำเข้าข้อมูล 21 ม.ค. 2564

วันที่ปรับปรุงข้อมูล 27 พ.ย. 2565

| 367 view

เช้านี้ มีผู้ลงทะเบียนกลับไทยวันที่ ๑๘ ม.ค. ๖๔ จำนวน ๗ คน
วันที่ ๑๗ ม.ค. มียอดผู้ติดเชื้อรายใหม่ ๓,๓๓๙ คน อยู่ในรัฐกลันตัน ๑๑๔ คน รัฐตรังกานู ๒๒ คน มีผู้ติดเชื้อสะสม ๑๕๘,๔๓๔ คน และผู้เสียชีวิตสะสม ๖๐๑ คน (เพิ่มขึ้น ๖ คน) (สถิติข้อมูลการระบาดโควิด รูป ๑)
พืช ศก. ที่กำลังมาแรงแซงทางโค้ง ตอนนี้คงไม่พ้นปาล์มน้ำมันที่ราคาน้ำมันปาล์มดิบ (Crude palm oil: CPO) ตั้งแต่ปลายปี ๖๓ ณ วันที่ ๒๕ ธ.ค. ๖๓ ทำสถิติราคา ๓,๘๕๔ ริงกิต/ตัน ทุบสถิติในรอบ ๒๕ปี และย่างเข้าปีฉลู ๒๐๒๑ ก็ยังคง “วิ่งฉลุย” (CPO ทุบสถิติในรอบ ๒๕ ปี รูป ๒-๓)
กระนั้นก็ตาม ภาพลักษณ์ของน้ำมันปาล์มในสายตาใครหลายคนนั้นไม่ต่างจาก “ผู้ร้าย” ที่บุกเข้าไปทำลายผืนป่า พรากชีวิตของสัตว์น้อยใหญ่ และบ้านของกลุ่มชนพื้นเมือง มิหนำซ้ำ น้ำมันปาล์มยังเป็นปัจจัยสำคัญของการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ตลอดจนปัญหามลพิษทางอากาศขั้นรุนแรง ที่เกิดจากการตัดไม้ทำลายป่าเพื่อปลูกปาล์ม ทำให้เกิดกระแสต่อต้านและการรณรงค์ให้เลิกใช้น้ำมันปาล์มขึ้น
เรื่องเล่าด่านรันตู วันนี้ขอเสนอเรื่อง “มซ. จะฟ้อง WTO เรื่องสหภาพยุโรปรณรงค์ต่อต้านน้ำมันปาล์ม” ตามที่ นสพ. Berita Harian ฉบับวันที่ ๑๕ ม.ค. ๒๐๒๑ ได้รายงานข่าว “มซ. จะดำเนินการทาง กม. กับสหภาพยุโรป”
โดยจะนำเสนอเป็น ๒ ตอน
ในตอนแรก จะชี้ให้เห็นว่า อะไรคือ ความขัดแย้งระหว่าง มซ. กับสหภาพยุโรปหรืออียู (EU)
มซ.และ EU กำลังงัดข้อกันเรื่องสินค้าน้ำมันปาล์ม ชนวนความขัดแย้งเกิดขึ้น เมื่ออียูประกาศเมื่อ มี.ค. ๒๐๑๙ ว่า จะเริ่มค่อยๆ ลดการใช้น้ำมันปาล์มเป็นส่วนผสมของเชื้อเพลิงสำหรับยานพาหนะในปี ๒๐๓๐ เนื่องจากมีความกังวลเรื่องปัญหาสิ่งเเวดล้อม (Can Malaysia afford to lose ? รูป ๔)
มซ. ที่เป็น ปท. ผู้ส่งออกน้ำมันปาล์มอันดับ ๒ ของโลก ขู่ว่าจะร้องเรียนต่อองค์การการค้าโลก หรือ WTO และ อซ. ซึ่งส่งออกน้ำมันปาล์มเป็นอันดับ ๑ ของโลก ก็แสดงจุดยืนร่วมกับ มซ. เช่นกัน
สภาน้ำมันปาล์มของ มซ. เตือนถึงผลกระทบทาง ศก. ต่อ มซ. ที่รุนเเรง เพราะ อก. นี้คิดเป็น ๖% ของขนาด ศก. ของ ปท. ในปี ๒๐๑๗ โดยตลาดยุโรปซื้อน้ำมันปาล์ม ๑๒% ของปริมาณส่งออกสินค้านี้จาก มซ. และถือเป็นตลาดขนาดใหญ่อันดับ ๒ รองจากอินเดีย และจีนเป็นผู้ซื้อน้ำมันปาล์มจาก มซ. มากเป็นอันดับ ๓
ภายใต้มาตรการลดการใช้น้ำมันปาล์มของ EU ปท. สมาชิกจะไม่สามารถจัดให้น้ำมันปาล์มเป็นพลังงานที่ถูกผลิตขึ้นมาใหม่ได้ เนื่องจากการทำสวนปาล์มน้ำมันเป็นสาเหตุของการทำลายป่า ซึ่ง มซ. แย้งว่า รายงานเกี่ยวกับการตัดไม้ทำลายป่าเพื่อทำสวนปาล์มหลายฉบับมีเนื้อหาเกินจริง (สวนปาล์มน้ำมัน รูป ๕)
นักวิเคราะห์ Shankaran Nambiar แห่ง Malaysian Institute of Economic Research กล่าวว่า นอกจากประเด็นทาง ศก. ต่อ มซ. แผนลดการใช้พลังงานชนิดนี้ของ EU ยังมีนัยเรื่องอคติต่อน้ำมันปาล์มโดยรวม
ปาล์มน้ำมัน มซ. เผชิญวิบากกรรมต่อเนื่อง หลัง EU หนึ่งในผู้นำเข้ารายใหญ่สุด ประกาศจะใช้มาตรการ “zero palm oil” เลิกใช้น้ำมันปาล์มภายในปี ๒๐๒๐-๒๐๒๑ และได้จำกัดการใช้น้ำมันปาล์มเพิ่มในการผลิต “เชื้อเพลิงชีวภาพ”
กระแสแบนการใช้น้ำมันปาล์มเกิดขึ้นตั้งแต่สภาที่ปรึกษาด้านสุขภาพของเบลเยียม รายงานเมื่อปี ๒๐๑๖ ว่า น้ำมันปาล์มมีกรดไขมันอิ่มตัว (saturated fat) เป็นสาเหตุให้เกิด “โรคหัวใจ” จนเป็นปรากฏการณ์ให้สินค้าทุกประเภทในยุโรป ต้องติดฉลาก “no palm oil”
ล่าสุดรัฐสภายุโรปของ EU เสนอร่าง กม. ห้ามใช้น้ำมันปาล์มในการผลิต “เชื้อเพลิงชีวภาพ” โดยเฉพาะที่นำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงรถยนต์ สร้างแรงกดดันต่อเนื่องจากที่ได้ประกาศต่อต้านการใช้น้ำมันปาล์มในผลิตภัณฑ์อื่น เช่น ผลิตภัณฑ์อาหาร เครื่องสำอาง และสินค้าอุปโภคบริโภค
เดอะ การ์เดียน รายงานว่า กรณีดังกล่าวผู้แทนของสภาปาล์มน้ำมัน มซ. ออกมาตอบโต้ทันทีว่า เกษตรกร มซ. กำลังได้รับความเดือดร้อนอย่างหนักจากมาตรการของ EU ซึ่งตั้งเป้าจะลดการใช้น้ำมันปาล์มให้เป็นศูนย์ (zero palm oil) ภายในปี ๒๐๒๐ - ๒๐๒๑
EU รณรงค์เรื่องการปลูกปาล์มเพื่อความยั่งยืน โดยไม่ทำลายสภาพแวดล้อมตามมาตรฐาน Roundtable on Sustainable Palm Oil (RSPO) ซึ่งส่งผลกระทบต่อ ปท. ผู้ส่งออก ๓ ปท. คือ อซ. ผลิตได้ ๔๐ ล้านตัน มซ. ๒๐ ล้านตัน รวมถึงไทย ๓ แสนตัน โดยรวมกันคิดเป็น ๙๐% ของผลผลิตโลก ทั้งนี้ มซ. ส่งออกปาล์มน้ำมันสูงถึง ๒ หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ/ปี ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อชาวสวนรายเล็กกว่า ๖.๕ แสนคน (ชาวสวนเก็บผลปาล์ม รูป ๖)
ความจริง EU เป็นกลุ่ม ปท. ที่ใช้น้ำมันปาล์มมากเฉลี่ยปีละ ๖.๓ ล้านตัน โดย ๔๖% ใช้ผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพ ส่วนอีก ๔๕% ใช้กับส่วนประกอบของอาหารคนและสัตว์ และอีก ๙% ใช้ผลิตไฟฟ้าและพลังงานความร้อน
ปท. หลักที่ใช้น้ำมันปาล์มมากที่สุดในอียู ได้แก่ อิตาลี สเปน ไอร์แลนด์ และเนเธอร์แลนด์ รวมกันแล้วเท่ากับ ๓๘% ของการใช้น้ำมันปาล์มทั้งหมดภายในอียู
อย่างไรก็ตาม “ไอซ์แลนด์” ซึ่งเปรียบเสมือนเป็น “ร้านขายของชำ” ของอียู เป็น ปท. แรกที่ประกาศมาตรการแบนน้ำมันปาล์มในผลิตภัณฑ์อาหาร โดย “ไอซ์แลนด์ซูเปอร์มาร์เก็ต” ในสหราชอาณาจักร ให้คำมั่นจะไม่ใช้น้ำมันปาล์มในผลิตภัณฑ์อาหารยี่ห้อของตนเอง ทั้งหมด ๑๓๐ ชนิด
ปัจจุบันสินค้าอาหารของซูเปอร์มาร์เก็ตไอซ์แลนด์ปลอดน้ำมันปาล์มแล้ว ๕๐%พร้อมระบุว่า จะหันไปใช้น้ำมันอื่นทดแทน เช่น เรปซี้ด คาดว่าหากลดการใช้น้ำมันปาล์มได้ ๑๐๐% ในปีนี้จะช่วยลดปริมาณความต้องการน้ำมันปาล์มของโลกได้ ๕๐๐ ตันต่อปี
สวนปาล์มที่ผ่านการรับรองมาตรฐานขององค์กรสนับสนุนการผลิตน้ำมันปาล์มอย่างยั่งยืน (RSPO) จะไม่สามารถแผ้วถางป่าที่มีความหลากหลายทางชีวภาพที่สำคัญ (เช่น ชนิดพันธุ์ที่ใกล้สูญพันธุ์) หรือระบบนิเวศที่เปราะบางได้ ผู้ปลูกปาล์มที่ได้รับการรับรองจะต้องดำเนินมาตรการเพื่อลดการกัดเซาะหน้าดินให้น้อยที่สุดและปกป้องแหล่งน้ำ (สัตว์ป่าที่ถูกคุกคาม รูป ๗)
นอกจากความห่วงใยด้านสิ่งแวดล้อม ผู้ปลูกปาล์มต้องใส่ใจประเด็นสิทธิมนุษยชน เช่น การจ่ายค่าแรงขั้นต่ำ การไม่ใช้แรงงานเด็ก และการได้รับความยินยอมจากชุมชนท้องถิ่นล่วงหน้า โดยชุมชนท้องถิ่นจะยังมีอิสระและได้รับข้อมูลข่าวสารรอบด้านอย่างครบถ้วน
ทุกวันนี้ น้ำมันปาล์มที่ผลิตตามมาตรฐาน RSPO ทั่วโลกมีสัดส่วนเพียงแค่ ๑๙% เท่านั้น ในเมืองไทย มีเกษตรกรผู้ผลิตปาล์มประมาณ ๒.๔ แสนครัวเรือน ประมาณ ๗๙% เป็นเกษตรกรรายย่อย ในขณะที่ไทยมีเกษตรกรที่สามารถปลูกปาล์มยั่งยืนน้อยกว่า ๑% กล่าวได้ว่า เกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมันในไทยส่วนใหญ่ยังไม่รู้จักและขาดความรู้เรื่องการปลูกปาล์มยั่งยืนเช่นกัน
มาถึงตรงนี้ ท่านผู้อ่านพอจะเข้าใจเหตุผลที่ EU ชูนโยบาย zero palm oil ให้เลิกการใช้น้ำมันปาล์ม โดยชี้ให้เห็นว่า เป็นต้นเหตุการทำลายป่า เนื่องจากไม่ได้เป็นไปตามมาตรฐานของการผลิตน้ำมันปาล์มอย่างยั่งยืน (RSPO) ของการจัดการป่าอย่างยั่งยืน แล้ว มซ. จะโต้อย่างไร โปรดติดตามตอนต่อไปครับ

รูปภาพประกอบ

รูปภาพประกอบ