วันที่นำเข้าข้อมูล 13 ธ.ค. 2563
วันที่ปรับปรุงข้อมูล 24 พ.ย. 2565
เช้านี้ ไม่มีผู้ลงทะเบียนกลับไทยวันที่ ๑๓ ธ.ค. ๖๓
การแพร่ระบาดโควิดใน มซ. วันที่ ๑๒ ธ.ค. ทำสถิติสูงกว่าเมื่อวาน โดยมียอดผู้ติดเชื้อรายใหม่ ๑,๙๓๗ คน อยู่ในรัฐกลันตัน ๑ คน รัฐตรังกานู ๖ คน และมีผู้ติดเชื้อสะสม ๘๒,๒๔๖ คน ผู้เสียชีวิตสะสม ๔๑๑ คน (เพิ่มขึ้น ๙ คน) (สถิติข้อมูลการระบาดโควิด รูป ๑)
เรื่องเล่าด่านรันตู วันนี้ขอเสนอเรื่อง “หนี้ไทยยังอยู่ในเพดาน” ตามที่ นสพ. กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ ๑๒ ธ.ค. ๖๓ ได้รายงานเรื่อง ‘ก. คลัง’ โต้ข่าวลือที่ว่า "หนี้สาธารณะปี ๖๔ ทะลุเพดาน" แจงยิบถึงที่มาของเงินต่างๆ พร้อมยืนยันหนี้สาธารณะไม่ทะลุเพดาน และ รบ. ยังมีหนี้อยู่ในระดับต่ำ (รายงานข่าว รูป ๒)
เฟซบุ๊ค สถานีข่าวกระทรวงการคลัง : Ministry of Finance News Station โพสต์ชี้แจงเรื่อง "หนี้สาธารณะปี ๖๔ ทะลุเพดานไม่เป็นความจริง" โดยระบุว่า ตามที่เพจ “วิชชั่นใหม่เพื่อ ศก. ไทยมั่นคง” ได้มีการเผยแพร่ข่าวว่า “ธ. โลกรายงานประเด็น ศก. ไทยจะเผชิญภาวะวิกฤตอย่างรุนแรง หนึ่งในปัญหาสำคัญที่สุด คือ ตัวเลขหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นทะลุเพดานสูงสุดในรอบ ๑๘ ปี ซึ่งเกิดจาก รบ. กู้เงินจำนวน ๑.๙ ล้านล้านบาท คิดเป็น ๑๓% ของ GDP” นั้น นางจินดารัตน์ วิริยะทวีกุล รอง ผอ. สนง. บริหารหนี้สาธารณะ ขอชี้แจงว่า ข่าวดังกล่าวไม่เป็นความจริง และขอชี้แจงในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับหนี้สาธารณะ ดังนี้ (มาตรการดูแลเยียวยาโควิด-๑๙ จำนวน ๑.๙ ล้านล้านบาท รูป ๓-๕)
สถานการณ์การระบาดของ COVID-19 ได้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อชีวิตและสุขภาพอนามัยของประชาชนทุกสาขาอาชีพในวงกว้าง (Pandemic) การดำเนินมาตรการควบคุมและยับยั้งการแพร่ระบาด ส่งผลให้การดำเนินกิจกรรมทาง ศก. ของทุกภาคส่วนทั่วโลกเกิดภาวะชะงักงันอย่างฉับพลัน นอกจากนี้ ยังส่งผลกระทบอย่างรุนแรงขยายเป็นวงกว้างทั่วโลก และยังไม่สามารถคาดการณ์การหยุดการระบาดได้
ประเทศไทยได้รับผลกระทบจากการระบาดของ COVID-19 อย่างรุนแรงเช่นกัน รบ. จึงได้ตราพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) เพื่อรองรับผลกระทบทาง ศก. และสังคม ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากปัญหาการแพร่ระบาดของ COVID-19 จำนวน ๓ ฉบับ ได้แก่
๑) พ.ร.ก. ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน วงเงิน ๑ ล้านล้านบาท
๒) พ.ร.ก. ให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบวิสาหกิจที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 วงเงิน ๕๐๐,๐๐๐ ล้านบาท
๓) พ.ร.ก. การรักษาเสถียรภาพของระบบการเงินและความมั่นคงทาง ศก. ของ ปท. วงเงิน ๔๐๐,๐๐๐ ล้านบาท
ทั้งนี้ พ.ร.ก. ๒) และ ๓) เป็นการช่วยเหลือทางการเงินและการรักษาเสถียรภาพทางการเงิน มิได้เป็นการกู้เงินเพื่อนำไปดำเนินงาน จึงไม่นับเป็นหนี้สาธารณะ ดังนั้น สรุปได้ว่า รบ. จะมีภาระจากการกู้เงินโดยตรงเพียง ๑ ล้านล้านบาท มิใช่ ๑.๙ ล้านล้านบาท ซึ่งปัจจุบัน ก. คลังดำเนินการกู้เงินภายใต้ พ.ร.ก. ดังกล่าวแล้วจำนวน ๓๔๘,๗๖๑ ล้านบาท
สำหรับหนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือน ต.ค. ๖๓ มีจำนวนทั้งสิ้น ๗.๘ ล้านล้านบาท โดยมีสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) เท่ากับ ๔๙.๕๓% ซึ่งยังคงอยู่ภายใต้กรอบวินัยทางการคลังที่กำหนดไว้ไม่เกิน ๖๐% ขณะที่ปี ๒๕๔๓ มีสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP สูงสุดเท่ากับ ๕๙.๙๘% เนื่องจากประสบกับวิกฤติของสถาบันการเงินในประเทศ (แผนการช่วยเหลือทางการเงินเทียบ GDP ของ ปท. ต่างๆ รูป ๖)
ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาสัดส่วนหนี้ภาค รบ. (General Government Debt) พบว่า รบ. ไทยมีหนี้อยู่ในระดับต่ำ (๔๔.๓๗%) โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับกลุ่ม ปท. ศก. เกิดใหม่และกลุ่ม ปท. กำลังพัฒนาในภูมิภาคเอเชีย (Emerging and Developing Asia Countries) ที่มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ ๖๒.๘๙% นอกจากนี้ สัดส่วนของไทยยังอยู่ในเกณฑ์เฉลี่ยเมื่อเทียบกับ ปท. ในกลุ่ม ASEAN และ ปท.กำลังพัฒนาด้วยกัน เนื่องจากหนี้สาธารณะส่วนใหญ่เกิดจากการกู้เพื่อเป็นรายจ่ายลงทุนในระบบ งปม. และการกู้เพื่อลงทุนในโครงการพัฒนา ศก. และสังคมด้านต่างๆ ซึ่งส่งผลให้ GDP ของ ปท. เกิดการขยายตัวตามไปด้วย (มาตรการของ ปท. อาเซียน รูป ๗)
นอกจากนี้ บ.จัดอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating Agencies) ระดับสากล ได้แก่ บ. S&P, Moody’s และ Fitch ได้คงอันดับความน่าเชื่อถือของไทย (Sovereign Credit Rating) ที่ BBB+ และคงมุมมองความน่าเชื่อถือของไทย (Outlook) อยู่ในระดับมีเสถียรภาพ (Stable Outlook) เนื่องจากไทยมีภาคการคลังสาธารณะ (Public Finance) ที่แข็งแกร่ง เป็นผลจากการบริหารจัดการทางการคลังอย่างรอบคอบและรักษาวินัยทางการคลังอย่างเคร่งครัด
นี่คือ รายงานสถานะการคลังของไทยที่มีหนี้สาธารณะเป็นสัดส่วนต่อ GDP ๔๙.๕๓% ซึ่งยังคงอยู่ภายใต้กรอบวินัยทางการคลัง ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือจาก บ. ระดับสากลอย่าง S&P, Moody’s และ Fitch อยู่ที่ BBB+ และคงมุมมองความน่าเชื่อถือของไทยอยู่ในระดับมีเสถียรภาพ
รูปภาพประกอบ