วันที่นำเข้าข้อมูล 16 ธ.ค. 2563
วันที่ปรับปรุงข้อมูล 29 พ.ย. 2565
เช้านี้ มีผู้ลงทะเบียนกลับไทยวันที่ ๑๖ ธ.ค. ๖๓ จำนวน ๒๒ คน
การแพร่ระบาดโควิดใน มซ. วันที่ ๑๕ ธ.ค. ทำสถิติสูงกว่าเมื่อวาน โดยมียอดผู้ติดเชื้อรายใหม่ ๑,๗๗๒ คน อยู่ในรัฐกลันตัน ๓ คน รัฐตรังกานู ๗ คน และมีผู้ติดเชื้อสะสม ๘๖,๖๑๘ คน ผู้เสียชีวิตสะสม ๔๒๒ คน (เพิ่มขึ้น ๓ คน) (สถิติข้อมูลการระบาดโควิด รูป ๑)
เรื่องเล่าด่านรันตู วันนี้ขอเสนอเรื่อง “มันกลับมาแล้ว เร็วกว่าที่คาด” บนลู่ทางพลิกวิกฤติ COVID-19 สู่การฟื้น ศก. อย่างยั่งยืน” จากตามที่ นสพ. โพสต์ทูเดย์ ฉบับวันที่ ๑๕ ธ.ค. ๖๓ ได้รายงานเรื่อง “กทม.ติดอันดับ ๔ เมืองที่มีมลพิษทางอากาศสูง” (กทม.เมืองมลพิษติด ๑๐ อันดับโลก รูป ๒)
เว็บไซต์ Airvisual รายงานข้อมูล ๑๐ อันดับคุณภาพอากาศทั่วโลก โดยเมื่อเวลา ๐๗.๐๐น. ของวันที่ ๑๕ ธ.ค.๖๓ ว่า ไทยติดอันดับ ๔ เมืองที่มีมลพิษทางอากาศสูง (เรื่องเล่าเช้านี้ รูป ๓)
นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวถึงสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ว่า ปีนี้สถานการณ์ฝุ่นมากเร็วกว่าทุกปี อาจเป็นเพราะสภาพอากาศ ที่มีร่องความกดอากาศ สภาพอากาศที่นิ่ง ทำให้บางพื้นที่ค่าฝุ่นวัดได้ตั้งแต่ ๕๐-๑๐๐-๒๐๐ ไมโครกรัมต่อ ลบ.ม. ซึ่ง สธ. ขอให้ช่วยกันลดฝุ่น งดกิจกรรมกลางแจ้ง สวมหน้ากากอนามัยช่วยระดับหนึ่ง (ย้ำสวมแมสก์กันฝุ่น PM2.5 รูป ๔)
เหตุการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 นับเป็นเสมือนตัวเร่งเทรนด์การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง หรือกระแส Disruption ทำให้เกิดความตระหนักถึงความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมมากขึ้น โดยเฉพาะในประเด็นการเปลี่ยนแปลงทางสภาพอากาศ (Climate Change) การแพร่ระบาดของ COVID-19 ในครั้งนี้ส่งผลให้ทั่วโลกปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลดลงมากที่สุด
มลพิษทางอากาศนับเป็นปัญหาสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชากรทั่วโลก จนนำไปสู่การเสียชีวิตก่อนวัยอันควร โดยจากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า ประชากรถึงราว ๙๐% ของโลกอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีระดับมลพิษทางอากาศสูงเกินกว่ามาตรฐานที่ WHO กำหนด
การศึกษาวิจัยของหลายสถาบันบ่งชี้ว่า มลพิษทางอากาศมีส่วนทำให้เกิดความเสี่ยงเกี่ยวกับ COVID-19มากกว่าปกติ อาทิ ม. ฮาร์วาร์ดพบว่า มลพิษทางอากาศทำให้อัตราการเสียชีวิตจาก COVID-19 เพิ่มขึ้น ในขณะที่ศูนย์วิจัยด้านพลังงานและอากาศสะอาด (CREA) ระบุว่า มลพิษทางอากาศทำให้เสี่ยงในการติดเชื้อไวรัส COVID-19 มากขึ้น และเป็นปัจจัยเสี่ยงทำให้เกิดโรคเรื้อรังที่จะเพิ่มความรุนแรงของ COVID-19 อีกด้วย
สิ่งที่เราได้เรียนรู้จากเหตุการณ์นี้ คือ ภาพตัวอย่างสภาวะโลกในอนาคตที่มีมลพิษลดลง หากทั่วโลกร่วมมือกันพัฒนา ศก. ให้เติบโตอย่างยั่งยืน โดยปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิต และพฤติกรรมการบริโภคที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
ทว่า การลดลงของระดับก๊าซเรือนกระจกเกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา เป็นเพียงแค่เหตุการณ์ชั่วคราวเท่านั้น เมื่อทั่วโลกเริ่มทยอยประกาศผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ ดังรายงานข่าวว่า ปีนี้ ฝุ่นPM2.5 มาเร็วกว่าที่คาด ซึ่งบ่งชี้ให้เห็นว่า ระดับการปล่อยมลพิษทางอากาศในไทยได้สูงจนเป็นอันตรายต่อสุขภาพ
ประเด็นการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศนี้ถูกหยิบยกขึ้นมาพิจารณาหลายครั้งในการประชุมสหประชาชาติ จนในที่สุดนำไปสู่ข้อตกลงระหว่างประเทศหลายฉบับ นับตั้งแต่อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC) ในปี ๑๙๙๒ พิธีสารเกียวโต (Kyoto Protocol) ในปี ๑๙๙๗ ไปจนถึงข้อตกลงปารีส (Paris Agreement) ที่เริ่มมีผลบังคับใช้ไปแล้วในปี ๒๐๑๖ โดยข้อตกลงปารีสนี้มีหัวใจหลักอยู่ที่การควบคุมอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกในปี ๒๑๐๐ (สาเหตุที่โลกร้อนคืออะไร รูป ๕)
อย่างไรก็ดี การลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในแต่ละ ปท. จะต้องอาศัยการผลักดันในระดับนโยบายภาครัฐเป็นสำคัญ โดยเฉพาะยุโรปที่นับเป็นภูมิภาคที่พยายามแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศอย่างจริงจังมาโดยตลอด ในเดือนธ.ค. ๒๐๑๙ อียูประกาศนโยบาย “European Green Deal” ซึ่งเป็นแนวทางในการพัฒนา ศก. รูปแบบใหม่ที่เน้นความยั่งยืนภายในปี ๒๐๕๐ โดยหวังแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และทำให้ประชากรมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ด้านภาคธุรกิจก็มุ่งพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่คำนึงถึงสังคมและสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกับการเติบโตทางธุรกิจ โดยหวังจะเป็นแนวทางตัวอย่างให้แก่ ปท.อื่นในโลก
ในปัจจุบัน ยุโรป บาง ปท.ได้ประกาศใช้ “นโยบายกระตุ้น ศก. สีเขียว” หรือ “Green Recovery” แล้ว อาทิ ในอียู เมื่อเดือน ก.ค. ที่ผ่านมา คณะ กมธ. ยุโรปจัดตั้งกองทุนฟื้นฟูเศรษฐกิจ (EU Recovery Fund) มูลค่า ๗.๕ แสนล้านยูโร เพื่อหนุน ศก. ให้ฟื้นตัวจากวิกฤติ COVID-19 โดยเน้นการลงทุนในโครงการด้านนวัตกรรมและสิ่งแวดล้อมตามแนวทางของ Green Deal ที่ออกมาก่อนหน้านี้ ขณะที่กระแสรักษ์โลกในไทยก็มีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากระดับแผนพัฒนา ศก. และสังคมแห่งชาติที่มีการบรรจุยุทธศาสตร์การพัฒนาอย่างยั่งยืนที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ไปจนถึงความร่วมมือจากภาคเอกชนในการบรรลุเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจก และการลดขยะเพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็นสังคมปลอดขยะ ที่เห็นเป็นรูปธรรมล่าสุด คือ นโยบายเลิกแจกถุงพลาสติกที่เริ่มนำร่องโดยกลุ่มผู้ประกอบการค้าปลีกค้าส่งเมื่อต้นปี ๒๐๒๐ ที่ผ่านมา
จากงานวิจัยของ ม. ออกซ์ฟอร์ดเดือนมิ.ย. พบว่า คะแนนด้าน ESG ของ บ.เอกชนมีความสัมพันธ์เชิงบวกกับการเติบโตทาง ศก. ของ ปท. นั้นๆ กล่าวคือ ถ้า บ. เอกชนส่วนใหญ่ใน ปท.เป็นบริษัทที่มีพื้นฐานการทำธุรกิจอย่างยั่งยืน คำนึงถึงปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม สังคมและธรรมาภิบาล จะทำให้ ศก. ของ ปท. นั้นมีแนวโน้มเติบโตได้ดีกว่า ปท. อื่นๆ ที่ บ. เอกชนดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ เหล่านี้น้อยกว่า (โควิด-๑๙ ทำให้วิกฤตโลกร้อนดีขึ้นจริงหรือ รูป ๖)
นี่คือ จุดพลิกวิกฤติ COVID-19 ให้เป็นโอกาสที่ รบ. จะผลักดันนโยบายที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในการฟื้นฟู ศก. ที่เรียกว่า “Green New Deal” โดยปรับโหมด ศก. สู่การประกอบธุรกิจ “สีเขียว” พึ่งพลังงานทดแทนหรือ เทคโนโลยีที่ไม่ก่อมลพิษ เพื่อลดก๊าซเรือนกระจกและปัดเป่าฝุ่น PM2.5 (แขกที่ไม่ได้รับเชิญ) ให้อันตรธานไป
รูปภาพประกอบ