วันที่นำเข้าข้อมูล 22 ธ.ค. 2563
วันที่ปรับปรุงข้อมูล 29 พ.ย. 2565
เช้านี้ ไม่มีผู้ลงทะเบียนกลับไทยวันที่ ๑๙ ธ.ค. ๖๓
การแพร่ระบาดโควิดใน มซ. วันที่ ๑๘ ธ.ค. ทำสถิติสูงกว่าเมื่อวาน โดยมียอดผู้ติดเชื้อรายใหม่ ๑,๖๘๓ คน อยู่ในรัฐกลันตัน ๑ คน รัฐตรังกานู ๔ คน และมีผู้ติดเชื้อสะสม ๙๐,๘๑๖ คน ผู้เสียชีวิตสะสม ๔๓๒ คน (ไม่มีเพิ่มขึ้น) (สถิติข้อมูลการระบาดโควิด รูป ๑)
เรื่องเล่าด่านรันตู วันนี้ขอเสนอเรื่อง “ รีสตาร์ทประเทศไทย ปี ๖๔” ตามที่ นสพ. กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ ๑๗ ธ.ค.๖๓ รายงานเรื่อง 'สุพัฒนพงษ์' รีสตาร์ท ปท. ปี ๖๔ มั่นใจตัวชี้วัด ศก. ดีขึ้น การบริโภคฟื้น เผยปี ๖๔ เดินหน้าเชิงรุกดึงลงทุน เปลี่ยน ปท. กรุงเทพฯเป็นศูนย์กลาง สนง. ข้ามชาติ มั่นใจไทยจะกลับมาแบบเข้มแข็งในปี ๖๕ ระบุไม่ต้องห่วงปัญหาสภาพคล่อง สถาบันการเงินพร้อมปล่อยสินเชื่อ
นสพ. กรุงเทพธุรกิจและ นสพ. ฐานเศรษฐกิจ จัดงาน Dinner Talk : Restart Thailand 2021 เมื่อวันที่ ๑๗ ธ.ค. เพื่อนำเสนอแนวทางการขับเคลื่อน ศก. ในปี ๖๔ ของภาครัฐและภาคเอกชน (การแสดงปาฐกถา รูป ๒-๕)
นายสุพัฒนพงษ์ พันธุ์มีเชาว์ รอง นรม. และ รมต. พลังงาน ปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “ขับเคลื่อนประเทศไทย 2021” ว่า ในปี ๖๓ ถือว่าเป็นปีที่ ศก. ได้รับผลกระทบมากทั้งในระดับโลกและระดับ ปท. อันเป็นผลจากการระบาดของโควิด-๑๙ โดย ศก.ไทย เปราะบางเนื่องจากพึ่งพาการส่งออกและการท่องเที่ยวอย่างมาก ทำให้ภาคธุรกิจได้รับผลกระทบอย่างหนักโดยเฉพาะรายเล็ก ซึ่ง รบ. เองพยายามปรับโครงสร้างเพื่อสร้างความมั่นใจในช่วง ๓ เดือน โดยเลื่อนชำระหนี้ ๑๒ ล้านราย เป็นเงินกว่า ๖.๘ ล้านล้านบาท และ รบ. ได้ใช้เงินเยียวยาในช่วง ๓ เดือนนั้น ไปกว่า ๔ แสนล้านบาท เมื่อรวมกับสินเชื่อที่เกี่ยวข้องในการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบอีก ๔ แสนล้านบาท รวมเป็นวงเงิน ๘ แสนล้านบาท เพื่อใช้ในการเยียวยาผลกระทบต่อ ศก.
ทั้งนี้ ดัชนีชี้วัด ศก. ต่างๆ ในช่วง ๗ เดือนดีขึ้นเป็นลำดับ เพราะเรามีความมั่นใจทั้งในเรื่องการบริโภค เรื่อง ศก. และการระมัดระวังร่วมมือป้องกันเป็นอย่างดี แม้จะมีผลกระทบจากการเมืองบ้างก็ตาม
ขณะที่ดัชนีการเข้าพักโรงแรมได้ปรับตัวดีขึ้นจาก ๓% ในเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา เพิ่มขึ้นเป็น ๓๐% ในปัจจุบัน รวมทั้งโครงการคนละครึ่งได้ช่วย SMEs และช่วย ปทท. ให้ผ่านวิกฤติไปได้ ได้เห็น รบ. พยายามกระตุ้นสภาพคล่องให้ธุรกิจขนาดเล็กที่เปราะบาง เช่น โครงการของ บสย. วงเงิน ๑.๕ แสนล้านบาท และวงเงิน ๑.๕ แสนล้านในเดือน ธ.ค.นี้ บวกกับสินเชื่อเพิ่มเติมอีก ๒ หมื่นล้านบาท
ที่ผ่านมา รบ. ได้ดำเนินโครงการต่างๆ โดยร่วมกับภาค ปชช. เพื่อช่วยกันกระตุ้น ศก. ใน ปท. โดยเฉพาะบางธุรกิจที่ได้รับความเดือดร้อน เช่น ธุรกิจท่องเที่ยว
ตัวเลขทาง ศก. ชี้ให้เห็นว่า ไทยเดินหน้าไปได้ โดย Bloomberg ให้ไทยเป็นอันดับ ๑ ด้านตัวเลขและดัชนี ศก. ในภาพรวม และรวมกับการควบคุมการแพร่ระบาด ส่งผลให้ ปทท. เดือดร้อนน้อยกว่า ปท. ส่วนใหญ่ในโลก และดีกว่าหลาย ปท. ที่ยังต้องดิ้นรนในการควบคุมการระบาด
เดือน เม.ย.ที่ผ่านมา หลายคนเป็นห่วงเรื่อง ศก. ถดถอยถึง ๙-๑๐% การเกิดหนี้แบบผาหนี้ หรือผิดชำระหนี้ แต่เมื่อถึงวันนี้ ศก. ถดถอยแค่ ๖% และการผิดชำระหนี้ลักษณะเป็นหน้าผาไม่เกิดขึ้น สำหรับโครงการ “คนละครึ่ง” และ “เราเที่ยวด้วยกัน” ทำให้เกิดการช่วยเหลือธุรกิจรายย่อยและผู้ที่เปราะบางกว่าให้ผ่านพ้นวิกฤติในปี ๖๓ ที่กำลังจะก้าวข้ามสิ้นปีนี้ไป
ด้านการผลักดันเทคโนโลยีในการสร้างธุรกิจใหม่ ปทท. จำเป็นต้องดึงดูดการลงทุนและปรับตัว โดยปรับโครงสร้างทาง ศก. ซึ่งในระยะ ๖ ปีที่ผ่านมา รบ. ได้วางแผนโครงสร้างพื้นฐาน จะมีรถไฟฟ้า ๑๔ สาย ภายใน ๔-๕ ปี รถไฟในกรุงเทพฯ ระยะทาง ๕๐๐ กว่า กม. ถือว่ายาวกว่าในกรุงลอนดอน
เขต EEC มีโครงการขนาดใหญ่ที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานซึ่งจะสร้างแล้วเสร็จใน ๔-๕ ปีข้างหน้า รวมถึงมีเขตนวัตกรรมภาคตะวันออก (อีอีซีไอ) ที่มีการผลักดันด้านนวัตกรรม เครื่องมือและห้องแล็ปทันสมัยที่รองรับการลงทุน รวมทั้งดิจิทัลและ 5G ซึ่งได้รับการยืนยันจาก ปธ.บ. หัวเหว่ยว่า ไทยมีเครือข่ายดิจิทัลที่ดีที่สุดในภูมิภาค เพื่อเอื้อให้เกิดโรโบติกส์ AI และธุรกิจใหม่ในปี ๒๕๖๕
โดยชี้ให้เห็นว่า ปทท. จะไม่ย้อนกลับไปเหมือนช่วงเกิดโควิด -๑๙ ในเมื่อ ปทท. มีความพร้อม ดังนั้น รบ.จะปฏิบัติการเชิงรุก ในการหารือกับนักลงทุน หอการค้าต่างประเทศ โดย รบ. ร่วมกับบีโอไอและ สนง. อีอีซีในการหารือและดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ ๕ ปท. ที่ได้ชี้แนะให้ไทยปรับปรุงตามข้อเสนอ “10 for 10” เพื่อยกระดับ ให้ไทยอยู่ ๑ใน ๑๐ ปท. ของ Ease of doing business
รบ. ตั้งเป้าปี ๖๔ เป็นปีแห่งการเร่งรัดการลงทุน ที่จะดึงดูด ปรับปรุง เปลี่ยนแปลง เพื่อเปลี่ยน ปท. โดยจะสร้าง อก. ใหม่ที่ลดการพึ่งพาต่างประเทศ รบ.จะขับเคลื่อนไปข้างหน้า จึงขอให้ภาคธุรกิจเอกชนมีความเชื่อมั่น จากความพร้อมที่เรามีอยู่ กรุงเทพจะเป็นศูนย์กลางการลงทุน ตั้ง สนง. ในภูมิภาค ส่วน อก. อื่นๆ ก็จะมีการปรับเช่น การเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ จะก้าวไปสู่ยานยนต์ไฟฟ้าได้ไม่ยาก เมื่อมีแผนแม่บทที่ชัดเจน
สำหรับการทำรถไฟฟ้า (EV) เรื่องเดียวจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงและสร้าง อก. อีกหลายอย่าง เช่น ชิ้นส่วนอัจฉริยะ ไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน ช่วยลดภาวะเรือนกระจก เพื่อให้สอดคล้องกับบริบทโลก และเป็นโอกาสของ ปทท. เช่น การสร้างพลังงานชุมชน โรงไฟฟ้าชีวมวล โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในลาว
ในปี ๖๕ ศก. ไทยจะกลับมาและเข้มแข็งกว่าเดิม แต่ในปี ๖๔ ยังต้องประคองกันแม้จะมีวัคซีน อย่างไรก็ตามเราคาดว่าต้องใช้เวลาประมาณ ๖ เดือนกว่าจะตั้งหลักได้ และในครึ่งปีหลังจะเริ่มเห็นทิศทางที่ชัดเจนขึ้น
ทั้งนี้ ไม่ต้องห่วงเรื่องสภาพคล่อง ธนาคารของไทยมีความแข็งแรง หากมีการกระตุ้นให้เกิดการลงทุน เดี๋ยวภาค ธ. จะปล่อยสินเชื่อมากขึ้นเอง โดยภาพรวมทุกอย่างสร้างสะสมมาตลอด ๖ ปี และมีโอกาสที่จะพลิกฟื้นให้เกิดความสำเร็จในการเปลี่ยน ปท. ได้
ส่วนการลดความเหลื่อมล้ำในระบบ ศก. โดยการสร้างโอกาสทาง ศก. มากขึ้น เช่น การสร้างแพลตฟอร์มทาง ศก. ให้เกิดกิจกรรมทาง ศก. มากขึ้น นอกจากนี้ที่ผ่านมามีการผ่อนปรนเรื่องของดอกเบี้ยผิดชำระหนี้ และมีการรวมหนี้ของ กยศ. (กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา) เข้ามาด้วย เพื่อให้มีการผ่อนชำระหนี้ได้มากขึ้น
เป็นเรื่องสำคัญที่จะร่วมกันสร้างโอกาสให้กับคนตัวเล็ก ในปีหน้าก็จะมีการดูแลคนที่เหลือของ ปท. การแจกเงินอย่างเดียวทำไม่ได้ เพราะ งปม. ยังไงก็ไม่พอ เราต้องสร้างโอกาส สร้างอาชีพใหม่ๆ ที่จะเชื่อมการทำงานของคนต่างๆ ในสังคมให้ได้มากขึ้น
สำหรับโครงการ “เราไม่ทิ้งกัน” มีคนเข้าระบบถึง ๒๗ ล้านคน ต้องขอบคุณ ธ.กรุงไทยที่ทำได้และระบบล่มน้อยมาก ทำให้ขยายมาเป็น “คนละครึ่ง” ได้ และจะต่อยอดให้เป็นโครงการอื่นที่สร้างการเติบโตทาง ศก. ได้ในอนาคต
ปทท. บอบช้ำทาง ศก. น้อย ไม่โดนลดเครดิต เรตติ้ง และได้รับการยอมรับในตัวชี้วัดการประเมิน ศก. และการควบคุมโรคระบาดจากต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม ไทยจะมีการระบาดรอบที่ ๒ ไม่ได้ โดยชี้ว่า จะให้มีการล็อคดาวน์รอบ ๒ ไม่ได้อย่างเด็ดขาด เพราะส่งผลกระทบต่อ ศก. มากและใช้เวลาในการฟื้นตัวพอสมควร
สำหรับเรื่องวัคซีน ไทยจะใช้เงิน ๓,๐๐๐ ล้านบาทในการเตรียมวัคซีนให้คนที่อ่อนแอและเปราะบาง มีโรงงานผลิตวัคซีนใน ปท. ซึ่งสถานการณ์จะดีขึ้น โดยในปี ๖๕ จะสร้าง ศก.ไปด้วยกัน หากทุกคนช่วยกัน ปท.จะเติบโตและดีกว่าเดิม เพราะไทยพิสูจน์ตัวเองมาแล้วในช่วงที่เกิดความยากลำบาก ได้สร้างปาฏิหาริย์มาแล้ว เป็นเรื่องที่น่าภูมิใจที่คนไทยจะสามารถประคับประคองฟื้นฟูและสร้างการเติบโตของ ศก.ในอนาคต
นี่คือ การแสดงวิสัยทัศน์ของรอง นรม. และ รมต. พลังงานในการรีสตาร์ท ปทท. และการที่ Bloomberg ได้ยกให้ไทยเป็นอันดับ ๑ ตลาดเกิดใหม่ในปี ๖๔ ได้สร้างความมั่นใจแก่ภาคธุรกิจเอกชนทั้งในและต่างประเทศ
รูปภาพประกอบ