เรื่องเล่าด่านรันตู ประจำวันที่ 25 ธันวาคม 2563

เรื่องเล่าด่านรันตู ประจำวันที่ 25 ธันวาคม 2563

วันที่นำเข้าข้อมูล 27 ธ.ค. 2563

วันที่ปรับปรุงข้อมูล 24 พ.ย. 2565

| 358 view

เช้านี้ มีผู้ลงทะเบียนกลับไทยวันที่ ๒๕ ธ.ค. ๖๓ จำนวน ๑๘ คน
การแพร่ระบาดโควิดใน มซ. วันที่ ๒๔ ธ.ค. มีสถิติสูงกว่าเมื่อวาน โดยมียอดผู้ติดเชื้อรายใหม่ ๑,๕๘๑ คน อยู่ในรัฐกลันตัน ๙ คน รัฐตรังกานู ๗ คน และเป็นครั้งแรกที่มีผู้ติดเชื้อสะสมเกิน ๑ แสน โดยมีจำนวน ๑๐๐,๓๑๘ คน ผู้เสียชีวิตสะสม ๔๔๖ คน (เพิ่มขึ้น ๒ คน) (สถิติข้อมูลการระบาดโควิด รูป ๑)
เรื่องเล่าด่านรันตู วันนี้ขอเสนอเรื่อง “ไทยกับฝันการเป็นฮับยางโลก” ตามที่ นสพ. ฐานเศรษฐกิจ ฉบับวันที่ ๒๓ ธ.ค ๖๓ ได้รายงานเรื่อง “ศูนย์กลางยางพาราโลก: ทำไม อย่างไร ชาวสวนยางได้อะไร” (ข่าว นสพ. รูป ๒)
เมื่อ ๑๗ ธ.ค. ๖๓ รศ. ดร.ปิติ ศรีแสงนาม คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ไปร่วมเสวนาหัวข้อ “ศูนย์กลางยางพาราโลก: ทำไม อย่างไร ชาวสวนยางได้อะไร” จัดโดยการยางแห่ง ปทท. ณ อ. ทุ่งสง จ. นครศรีธรรมราช
ยางพาราเป็นอีกหนึ่งภาคการเกษตรและต่อยอดเป็น อก. ที่มีมูลค่ามหาศาลและกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทยในทุกภาคโดยเฉพาะภาคใต้ ผู้ประกอบการของไทยใน อก. ต้นนํ้าหรือชาวสวนยางไทยส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรรายย่อยที่มีพื้นที่เพาะปลูกไม่ถึง ๕๐ ไร่ แต่จะเห็นได้ว่ารายได้ต่อพื้นที่ที่เท่ากัน ไม่ว่าจะเป็นเกษตรกรรายใหญ่ รายกลาง หรือรายย่อย มีประสิทธิภาพในการสร้างรายได้ในระดับพอๆ กัน (ตลาดส่งออกยางของไทยรูป ๓)
เมื่อเปรียบเทียบกับการผลิตใน ๒ ปท. ผู้ผลิตรายใหญ่ในตลาดโลก พบว่าไทยมีประสิทธิภาพการผลิตสูงสุด โดยไทยมีผลผลิต ๒๔๐ กก./ไร่ ในขณะที่ อซ. และ มซ. ผลผลิตอยู่ที่ระดับ ๑๕๘ และ ๑๓๓ กก./ไร่ ตามลำดับ
อย่างไรก็ตามพื้นที่การผลิตของไทยมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันพื้นที่เพาะปลูกของไทยเหลือประมาณ ๒๒ ล้านไร่ โดยเป็นพื้นที่ที่กรีดได้ ๒๐ ล้านไร่ และมีพื้นที่ยังไม่เปิดกรีดยางลดลงอย่างมีนัยสำคัญ แต่มีพื้นที่เพาะปลูกเพิ่มขึ้นใน วน. เมียนมาร์ กัมพูชา สปป.ลาว จีนตอนใต้ และอินเดีย
ปัจจุบันการแปรรูปยางพาราเบื้องต้นของไทยมีมูลค่า ๒ แสนล้านบาท โดย ๗๔% เป็นยางแผ่นดิบ (๑๔๖,๙๕๒ ล้านบาท) ๑๕% ผลิตนํ้ายางสด (๒๙,๗๘๘ ล้านบาท) และ ๑๑% เป็นยางก้อนถ้วย (๒๑,๘๘๔ ล้านบาท) (ผลผลิตยางพาราของไทย รูป ๔)
นํ้ายางสดส่วนใหญ่กว่า ๖๐% จะถูกแปรรูปเป็นนํ้ายางข้น (๓๗,๐๔๖ ล้านบาท) เพื่อส่งออกไปยัง มซ. จีน กลต. วน. สหรัฐ และนำไปผลิตเป็นถุงมือยาง ถุงยางอนามัย ด้ายยาง ยางลบ ในขณะที่อีก ๔๐% จะนำไปผลิตเป็นยางแท่ง ซึ่งมีมาตรฐาน (Standard Thai Rubber: STR) ขนาด STR5/ STR5L/ STRXL และ ยาง Compound (๘๑,๔๐๗ ล้านบาท) โดยตลาดส่งออกสำคัญของยางแท่งคือ จีน สหรัฐ ญี่ปุ่น เยอรมัน กลต. ตุรกี เพื่อนำไปผลิตเป็นยางล้อ ท่อยาง ยางจุกนม เส้นด้ายยาง เทปกาว ชิ้นส่วนรองเท้า ซีลยาง สายพาน ยางรองคอสะพาน (ราคาน้ำยาง รูป ๕)
อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาถึงยุทธศาสตร์ และแนวนโยบายในการพัฒนา อก. ยางของ ปทท. ไม่ว่าจะเป็น แผนแม่บทการพัฒนา อก. ยางไทย (๒๕๕๕-๗๔) ยุทธศาสตร์ยางพารา ๒๐ ปี (๒๕๖๐-๗๙) ยุทธศาสตร์ วิสาหกิจการยางแห่ง ปทท. (๒๕๕๙-๒๕๖๓) และแผนวิสาหกิจการยางแห่ง ปทท. (๒๕๖๐-๖๔) จะพบว่า แนวทางการเดินหน้า อก. ยางพาราของไทยยังมีข้อพึงระวัง ดังนี้ (การส่งออกถุงมือยางของไทย รูป ๖)
๑) ยุทธศาสตร์ทั้งหมดเน้นการพัฒนาเฉพาะด้านอุปทาน อาทิ การพัฒนาคน พัฒนาสายพันธุ์ พัฒนาเทคโนโลยีการผลิต แต่ไม่ได้มีการทำนโยบายหรือยุทธศาสตร์ด้านอุปสงค์ ทั้งที่ในความเป็นจริง สิ่งที่สำคัญที่สุดในการดำเนินธุรกิจคือ การเข้าใจสาระสำคัญของข้อมูลที่ผ่านการวิเคราะห์ (Intelligence) และความต้องการแท้ จริง (Insight) ของผู้ซื้อว่า พวกเขาต้องการผลิตภัณฑ์อย่างไร เพื่อจะได้ผลิตสินค้าในรูปแบบที่ลูกค้าต้องการ
๒) เป้าหมายการดำเนินนโยบายยังมีความขัดแย้งกัน อาทิ ไทยอยากจะเป็นศูนย์กลางการผลิต ขณะเดียวกันก็ต้องการลดพื้นที่ปลูก ต้องการเพิ่มประสิทธิผลการผลิตต่อไร่เพิ่มขึ้นแทนจำนวนไร่เพาะปลูกที่ลดลง แต่ไม่มีการวางแผนคุ้มครองพันธุ์พืชใหม่เพื่อเป็นแรงจูงใจให้เกิดการพัฒนาสายพันธุ์ที่ให้ผลผลิตสูง, การส่งเสริมให้ส่งออก แต่ในขณะเดียวกันก็ส่งเสริมให้ใช้ยางพาราใน ปท. เพิ่มขึ้น ทั้งที่ผลผลิตคงที่ หรือมีแนวโน้มลดลง เป็นต้น
๓) การวางยุทธศาสตร์ยังไม่ได้คำนึงถึงการคาดการณ์อนาคตที่เปลี่ยนแปลงอย่างมีพลวัตร และยังไม่ได้คำนึงถึงปัจจัยภายนอก ปท. ที่เหนือการควบคุม อาทิ โควิด-๑๙ ทำให้ความต้องการยางเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัย สำคัญ ทำให้ราคายางสูงขึ้น แล้วหลังจากโควิดจะเกิดอะไรขึ้นซึ่งยังไม่ได้มีแผนรองรับ เพดานราคายางธรรมชาติอย่างสูงที่สุดก็ยังขึ้นกับราคานํ้ามันดิบและผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมที่จะใช้ผลิตยางสังเคราะห์ ซึ่งราคาลดลงทุกวัน และยางสังเคราะห์ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้ทดแทนกัน ก็มีคุณสมบัติดีขึ้นในราคาที่ตํ่าลง (มูลเหตุที่ยางราคาแพง รูป ๗)
รวมถึงการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีอย่างฉับพลัน (Disruptive Technology) อาทิ ยานยนต์ไฟฟ้า พลังงานทางเลือก ที่ในอนาคตจะใช้ชิ้นส่วนยานยนต์จากยาง อาทิ ท่อยาง ยางรองแท่นเครื่องลดลง, ระบบโลจิสติกส์ที่จะเปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะระบบรางที่จะเชื่อมโยงผ่านจีน ทำให้ไม่มีความจำเป็นต้องพัฒนา ท่าเรือในพื้นที่ภาคใต้ อาทิ ท่าเรือสงขลา นโยบายของประเทศเพื่อนบ้าน เช่น มาเลเซียที่ทำนโยบายเน้นการเป็นจุดศูนย์กลางการค้ายาง (หาตลาดส่งออก เพิ่มประเภทผลผลิต ตั้งศูนย์ตรวจสอบและรับรองมาตรฐาน) วาง มซ. เป็นปลายนํ้าให้ไทย และ อซ. เป็นต้นนํ้า
ดังนั้น หากไทยต้องการเป็นศูนย์กลางยางพาราโลก ยังคงมีอีกหลากหลายมิติที่ต้องคำนึงถึง อาทิ
๑) การเปลี่ยนทัศนคติของผู้เกี่ยวข้องจาก การทำมาหากิน เป็นการ “ทำมาค้าขาย” เพราะถ้าจะค้าขาย นั่นแปลว่า ต้องสนับสนุนทั้งส่งออกและนำเข้า ต้องทำให้ตัวเองเป็นตลาดการค้า ไม่ใช่กีดกันการค้าเพื่อปกป้อง
๒) กำหนดเป้าหมายชัดเจนในการวางยุทธศาสตร์และนโยบาย โดยต้องตอบคำถามพื้นฐาน อาทิ ผลิตอะไร ผลิตอย่างไร ขายใคร ใครรับผิดชอบ รวมถึงงบประมาณ และภาวะผู้นำ
๓) รู้จักหยุด และเดินหน้าในสิ่งแวดล้อมยุค Disruptive ที่เปลี่ยนแปลงฉับพลัน บางเรื่อง บางอุตสาหกรรมอาจจะต้องหยุด แล้วเรามีแผนรองรับหรือยัง
๔) วางยุทธศาสตร์และนโยบายที่เน้นให้อุปสงค์เป็นตัวขับเคลื่อน เพื่อตอบให้ได้ว่าจะผลิตอะไร อย่างไร ไม่ใช่เน้นแต่เฉพาะนโยบายด้านอุปทาน
๕) สร้างสิ่งอำนวยความสะดวกทางการค้า โดยเฉพาะการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา และโครงสร้างพื้นฐาน (Hardware อาทิ ระบบราง ท่าเรือแห้ง รวมถึง Software อาทิ ตลาดซื้อขายล่วงหน้า การเงินการธนาคาร ภาษีศุลกากร และ Peopleware)
๖) เร่งเจรจาเขตการค้าเสรีใหม่ๆ เพื่อสร้างแต้มต่อให้ผู้ประกอบการ
๗) ปฏิรูปกฎระเบียบ กฎหมาย กฎเกณฑ์ ทุกระดับ ต้องกระจายการตัดสินใจให้คนในพื้นที่ และไม่ขึ้นกับดุลพินิจ
ถ้าทำได้ตามนี้ เราจะสามารถตอบได้ว่า ศูนย์กลางยางพาราโลก: ทำไม อย่างไร ชาวสวนยางได้อะไร
และนี่เป็นข้อชวนคิด (food for thought) สำหรับภาครัฐและเอกชน รวมถึงผู้ที่ส่วนเกี่ยวข้อง (stakeholders) ใน อก. ยางพารา เพื่อ”สานฝันการเป็นฮับยางโลก” ของไทยครับ

รูปภาพประกอบ

รูปภาพประกอบ