เรื่องเล่าด่านรันตู ประจำวันที่ 4 ธันวาคม 2563

เรื่องเล่าด่านรันตู ประจำวันที่ 4 ธันวาคม 2563

วันที่นำเข้าข้อมูล 7 ธ.ค. 2563

วันที่ปรับปรุงข้อมูล 26 พ.ย. 2565

| 470 view

เช้านี้ มีผู้ลงทะเบียนกลับไทยวันที่ ๔ ธ.ค. ๖๓ จำนวน ๒๐ คน
การแพร่ระบาดโควิดใน มซ. วันที่ ๓ ธ.ค. มีสถิติสูงกว่าเมื่อวาน โดยมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ ๑,๐๗๕ คน อยู่ในรัฐสลังงอร์ ๔๕๙ คน รัฐซาบาห์ ๓๑๐ คน รัฐเนกริเซมบิลัน ๕๒ คน รัฐยะโฮร์ ๗๘ คน เกาะปีนัง ๔๓ คน กรุงกัวลาลัมเปอร์ ๔๙ คน รัฐเคดาห์ ๓๒ คน รัฐเปรัค ๒๖ คน รัฐกลันตัน ๙ คน ลาบวน ๙ คน รัฐปาหัง ๔ คน รัฐมะละกา ๒ คน รัฐซาราวัค ๑ คน รัฐตรังกานู ๑ คน และมีผู้ติดเชื้อสะสม ๖๙,๐๙๕ คน ผู้เสียชีวิตสะสม ๓๗๖ คน (เพิ่มขึ้น ๑๑ คน) (สถิติข้อมูลการระบาดโควิด รูป ๑)
จากบทความเมื่อวานนี้เรื่องวัคซีนโควิด Pfizer ผู้อ่านทางบ้านสอบถามว่า ต่างกันอย่างไรกับวัคซีนโควิด AstraZenaca ที่ รบ. ไทยได้ลงนามสัญญาจัดหาวัคซีนโควิด-๑๙ ณ ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ ๒๗ พ.ย.ที่ผ่านมา
เพื่อไขข้อข้องใจดังกล่าว เรื่องเล่าด่านรันตู วันนี้จึงขอเสนอเรื่อง “แกะรอยเส้นทางวัคซีนโควิด” ต่อจากเมื่อวานนี้ ตามที่ นสพ. กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ ๒๘ พ.ย. ๖๓ ได้รายงานเรื่อง 'วัคซีนโควิด' กับสตาร์ทอัพ (วัคซีนโควิด รูป ๒)
เจาะลึกสตาร์ทอัพและบ.วิจัย "วัคซีนโควิด" อย่าง Pfizer/BioNtech และ AstraZenaca กับเส้นทาง กระบวนการคิดค้น และขั้นตอนการทดสอบ ภาพสะท้อนของสตาร์ทอัพที่ทำงานร่วมกับ บ.หรือองค์กรขนาดใหญ่ในภาวะวิกฤติ
สองอาทิตย์ที่ผ่านมาน่าจะเป็นช่วงที่ดีที่สุดช่วงหนึ่งของมนุษยชาติ เมื่อทั้งผู้ผลิตยารายใหญ่อย่าง Pfizer/BioNtech, Moderna และ AstraZenaca/ม.ออกซ์ฟอร์ด ต่างก็ประกาศความสำเร็จในการทดลองวัคซีนโควิด-๑๙ ขั้นสุดท้ายกับกลุ่มทดลองที่เป็นคนหมู่มาก (กว่า ๓๐-๔๐,๐๐๐ คน) แล้วมีผลที่น่าพึงพอใจ และอยู่ระหว่างการจดทะเบียนกับองค์กรอาหารและยาในประเทศต่างๆ เพื่อจัดการผลิตเป็นจำนวนมาก (mass production) แล้วกระจายให้ประชากรโลกต่อไป
สำหรับ Pfizer/BioNtech นั้น บ. BioNtech เป็นสตาร์ทอัพหรือ บ.วิจัยขนาดเล็กทางด้านชีววิทยา ที่ต้องการศึกษาวิธีการทำวัคซีนป้องกันมะเร็งต่างๆ ซึ่งใช้เทคนิคที่นักวิทยาศาสตร์ยังไม่ได้มีการรับรองและอาจจะใช้เวลาอีกนานกว่าจะเป็นที่ยอมรับ ถ้าไม่เกิดเหตุการณ์โควิด (การแข่งวิจัยวัคซีน รูป ๓)
โดยปกติแล้ววัคซีนป้องกันไวรัส เช่น ไข้หวัดใหญ่ ใช้วิธีง่ายๆ คือ ฉีดเชื้อหวัดอ่อนๆ เข้าไปในร่างกายคน เมื่อร่างกายเจอเชื้อดังกล่าวก็จะสร้างเซลล์เพื่อทำการต่อสู้และฆ่าเชื้อดังกล่าว เมื่อสำเร็จก็จะทำให้บุคคลนั้นมีภูมิคุ้มกัน เนื่องจากร่างกายรู้ว่าคือเชื้ออะไร และเคยเอาชนะเชื้อดังกล่าวอย่างไร นั่นคือการฉีดวัคซีนทั่วไปเพื่อสร้างภูมิคุ้มกัน
แต่สิ่งที่กลุ่ม BioNTech วิจัยและพัฒนา เรียกว่า messenger RNA หรือ mRNA กล่าวคือแทนที่จะส่งเชื้ออ่อน วัคซีนนี้ทำหน้าที่เป็นคนถือสาส์นที่ส่งข้อความหรือสัญญาณเข้าไปในร่างกาย เพื่อบอกให้ร่างกายรู้ว่ากำลังจะถูกบุกรุกจากไวรัสชนิดไหน แล้วให้ร่างกายเตรียมตัวที่จะต่อต้านหรือกำจัดเชื้อดังกล่าว คงคล้ายกับคำสั่งในคอมพิวเตอร์ หรือการส่งสัญญาณให้เตรียมพร้อมว่าข้าศึกกำลังจะบุกในการสงคราม เพื่อให้กองทัพเตรียมตัวให้พร้อม โดยโปรตีนที่จะทำลายข้าศึกได้คืออะไรบ้าง
กระบวนการดังกล่าวเป็นการคิดที่แตกต่าง และอยู่ระหว่างการพิสูจน์ทางชีววิทยาและการแพทย์ แต่ภาวะโควิดทำให้สามารถนำมาใช้ในทางปฏิบัติได้เร็วขึ้น โดย Dr.Ugur Sahin และ Dr.Ozlem Tureci คู่สามีภรรยาเชื้อสายตุรกีที่อพยพไปเยอรมนีได้ร่วมกันคิดค้นและก่อตั้งบ. BioNTech เมื่อ ๑๒ ปีก่อนเพื่อพิสูจน์ทฤษฎีดังกล่าว
ในช่วงต้นนั้น เป็นการวิจัยหาวัคซีนเพื่อต่อต้านมะเร็ง แต่งานวิจัยเดียวกันนี้สามารถใช้กับโควิดได้ และเมื่อเดือน ก.พ.ปีนี้ หลังจากได้เห็นถึงรายละเอียดโครงสร้างของไวรัส (genetic code) จากนักวิทยาศาสตร์จีน จึงได้หันมาพัฒนาวัคซีนดังกล่าว เมื่อมีความคืบหน้าและพิจารณาแล้วว่าจะต้องผลิตเป็นจำนวนมาก จึงได้เซ็นสัญญาร่วมมือกับยักษ์ใหญ่ในวงการยาคือ Pfizer บ.ยาสัญชาติอเมริกัน เพื่อที่จะสามารถตอบโจทย์ในการ scale up หรือขยายขึ้นเป็นธุรกิจ เพราะอย่างที่ทราบว่าหนึ่งคนต้องฉีด ๒ เข็ม และถ้าต้องให้ประชากรในยุโรปทั้ง ๗๔๐ ล้านคนได้ฉีดวัคซีนดังกล่าว หมายถึงต้องเตรียมกว่า ๑,๕๐๐ ล้านชุด ซึ่งสตาร์ทอัพคงไม่สามารถที่จะตอบโจทย์นี้ได้
เยอรมนีเป็น ปท. ที่ให้ความสำคัญกับ บ.ขนาดกลางหรือ Mittelstand (คงคล้ายกับ SME บ้านเรา) เมื่อ บ.ต่างๆ ทราบถึงความต้องการและความจำเป็นของการผลิตวัคซีนดังกล่าว เหล่า supply chain ก็มีการเตรียมพร้อมอย่างเร่งรีบ เช่น หลอดแก้วที่จะต้องบรรจุวัคซีนซึ่งมี บ. ผู้ผลิต ๒-๓ แห่งที่ได้ประสานงานและเตรียมผลิตเป็นจำนวนมาก โดยสามารถผลิตได้ ๑,๐๐๐ ล้านชิ้นในระยะเวลาอันสั้น (วัคซีนโควิด AstraZenaca รูป ๔)
เทคโนโลยีการผลิตวัคซีนของ Moderna เป็นแบบ mRNA เช่นกัน แต่สามารถเก็บโดยไม่เสื่อมคุณภาพได้ที่ -๒๐ องศาเซลเซียส ซึ่งทำให้ต้นทุนการกักเก็บลดลง โดยน่าจะมีราคาต่ำกว่ากลุ่มแรก และเห็นว่าได้ร่วมมือกับ รบ. ของสหรัฐฯ เพื่อเตรียมพร้อมในการ scale up เช่นกัน
ส่วน AstraZenaca ที่ร่วมมือกับ ม.ออกซ์ฟอร์ด รบ. อังกฤษและรวมถึง รบ. ไทยด้วย ในการ scale up ยังคงใช้เทคโนโลยีแบบดั้งเดิมคือ ส่งม้า Trojan หรือเชื้ออ่อนๆ เข้าไปในร่างกายเพื่อสร้างภูมิก่อน พบว่าถ้าจะให้ได้ผลถึง ๙๐% นั้น ในเข็มแรกต้องฉีดเพียงครึ่งเข็ม แล้วเข็มที่สองจึงฉีดทั้งหลอด (นาย Pascal Soriot, CEO, AstraZenaca รูป ๕) เนื่องด้วยใช้เทคโนโลยีแบบดั้งเดิม จึงน่าจะมีต้นทุนต่ำสุด ที่น่าจะเอื้อมถึงได้ไม่ยากสำหรับ ปท. ที่กำลังพัฒนา รวมถึงไทยด้วย (พิธีลงนามจองวัคซีน AstraZenaca รูป ๖)
ช่วงวิกฤตโควิด แม้สตาร์ทอัพในหลายๆ อก. ได้หายไปจากจอเรดาร์ แต่ทางชีววิทยาและเภสัชกรรมกำลังมีการขยายตัวอย่างมาก ที่สำคัญที่สุดคือการที่สตาร์ทอัพทำงานร่วมกับ บ.หรือองค์กรขนาดใหญ่เพื่อให้การขยายเข้าสู่ตลาดขนาดใหญ่เป็นไปได้ง่ายและรวดเร็ว โดยเฉพาะ อก. ที่เกี่ยวข้องกับความอยู่รอดของชีวิตมนุษย์
เมื่อวันที่ ๒ ธ.ค. ปธน. ปูตินของรัสเซียได้สั่งให้เริ่มผลิตวัคซีน Sputnik V ตั้งแต่สัปดาห์หน้าเช่นกัน โดยวัคซีน Sputnik V ใช้ adenovirus เป็นสารตัวนำพันธุกรรม (vector) SARS-Cov-2 เข้าสู่ร่างกายเพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกันในรูปแบบ two-vector/staged vaccine ที่จะต้องฉีด ๒ ครั้งในเวลา ๓ สัปดาห์ ต่างจากวัคซีน adenovirus ที่พัฒนาโดยจีน สหรัฐฯ และอังกฤษ ที่ใช้เทคโนโลยีการผลิตเช่นเดียวกับวัคซีนปกติ (ปธน. ปูตินกับวัคซีนโควิด Sputnik V รูป ๗)

ท้ายนี้ หวังว่า ทั้ง ๔ บ. จะประสบความสำเร็จในการผลิตเป็นจำนวนมาก และโลกมนุษย์เราจะสามารถกลับมาใช้ชีวิตแบบ old normal ได้โดยเร็วนะครับ

รูปภาพประกอบ

รูปภาพประกอบ