เรื่องเล่าด่านรันตู ประจำวันที่ 22 ธันวาคม 2563

เรื่องเล่าด่านรันตู ประจำวันที่ 22 ธันวาคม 2563

วันที่นำเข้าข้อมูล 22 ธ.ค. 2563

วันที่ปรับปรุงข้อมูล 27 พ.ย. 2565

| 400 view

เช้านี้ ไม่มีผู้ลงทะเบียนกลับไทยวันที่ ๒๒ ธ.ค. ๖๓
การแพร่ระบาดโควิดใน มซ. วันที่ ๒๑ ธ.ค. ทำสถิติสูงกว่าเมื่อวาน โดยมียอดผู้ติดเชื้อรายใหม่ ๒,๐๑๘ คน อยู่ในรัฐกลันตัน ๖ คน รัฐตรังกานู ๑ คน และมีผู้ติดเชื้อสะสม ๙๕,๓๒๗ คน ผู้เสียชีวิตสะสม ๔๓๘ คน (เพิ่มขึ้น ๑ คน) (สถิติข้อมูลการระบาดโควิด รูป ๑)
เรื่องเล่าด่านรันตู วันนี้ขอเสนอเรื่อง “ภาวะ ศก. ไทยในยามนี้” ตามที่ นสพ. โพสต์ทูเดย์ ฉบับวันที่ ๒๓ พ.ย. ๖๓ รายงานเรื่อง “วันนี้เศรษฐกิจไทยหายป่วยแล้ว...จริงไหม?” (รายงานข่าว ศก. รอบทิศ รูป ๒)
ขอพักเรื่องโควิดกำลังระบาดขณะนี้ แม้จะอยู่ในช่วงที่วุ่นๆ ก็ยังมีข่าวดีแทรกเข้ามาบ้างเกี่ยวกับสภาพัฒนฯ หรือ “สศช.” เผย ศก.ไทยไตรมาส ๓ หดตัวน้อยกว่าที่คาดเหลือ -๖.๔% จากที่ไตรมาสก่อนซึ่งอยู่ในช่วงล็อกดาวน์ ศก.หดตัวสูงถึง -๑๒.๒% ทำให้ช่วงม.ค.-ก.ย. จีดีพีหดตัว -๖.๗% จึงมีการปรับคาดการณ์ ศก. ไทยว่าอาจจะขยายตัวติดลบต่ำกว่าที่ประเมินไว้ก่อนหน้านี้ ที่คาดว่าอาจหดตัวถึง -๗.๘% แต่ ศก. จะยังไม่กลับมาเหมือนก่อนโควิดอย่างน้อยต้องรอไปถึงปีหน้า (นายธนิต โสรัตน์ รอง ปธ.สภานายจ้าง ผู้ประกอบการค้าและ อก. รูป ๓)
คำถามที่ชี้ให้เห็นตัวเลขนี้แสดงว่า ศก. ไทยที่เดิมคาดว่าจะฟื้นตัวได้ช้าติดอันดับรั้งท้าย ปท. อื่นๆ ในอาเซียนจะกลับมาฟื้นตัวได้แล้วหรือ ก็คงตอบได้ว่า ศก.ไทยในไตรมาส ๓ อาการป่วยลดลงแต่ยังไม่หาย แม้จะมีสัญญาณที่ดีว่า ศก. จะค่อยๆ กลับมาเป็นบวกสะท้อนจากเดือน ก.ย. มูลค่าส่งออกเป็นเงินเหรียญสหรัฐหดตัว -๓.๘๖% ต่ำสุดในรอบหลายเดือน การลงทุนของภาคเอกชนหดตัว -๑๐.๗% เทียบกับไตรมาสก่อนหน้านี้ที่หดตัว -๑๕% เซกเตอร์บริการยังคงหดตัวต่อเนื่อง ขณะที่ภาคการท่องเที่ยววัดจากการบริโภคขั้นสุดท้ายติดลบถึง -๔๙.๖% ด้านกำลังผลิตอุตสาหกรรม (CPU) เดือน ก.ย. ๖๓ อยู่ที่ระดับ ๖๓.๐๗ ขณะที่การนำเข้าเครื่องจักรล่าสุดยังหดตัว -๙.๐๘% เห็นได้ว่าเครื่องมือชี้วัด ศก. เริ่มมีการปรับตัวอย่างช้าๆ แต่ยังอยู่ในโซนติดลบ แสดงให้เห็นถึงความเปราะบางของการจ้างงานที่ว่าจะยังไม่กลับมาอย่างน้อยไปถึงกลางปีหน้า ศก. (สศช. แถลง รูป ๔)
ที่ต้องติดตามใกล้ชิดคือมาตรการพักหนี้ซึ่งปิดโครงการไปแล้ว มีการประเมินว่ามีลูกหนี้สถาบันการเงินถึง ๔๐% ที่เข้าร่วมโครงการยืดหนี้ยังคงเข้าข่ายต้องพักหนี้ต่อไป ในจำนวนนี้ประเมินว่ามีหนี้ที่ไม่อาจกลับคืนสภาพปกติสูงถึง ๑๐% ตัวเลขนี้ยังไม่รวมลูกหนี้ที่ขาดการติดต่อ หายตัวหรือปิดธุรกิจไปแล้ว คาดว่ามีสูงไม่น้อยกว่า ๖% ของลูกหนี้ที่เข้าร่วมโครงการ (อก.อาหารแปรรูป รูป ๕)
การปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินในเดือนที่ผ่านมาขยายตัวได้ ๔% อาจเกี่ยวข้องกับโครงการเสริมสภาพคล่องหรือการปรับโครงสร้างหนี้ของสถาบันการเงิน ปัญหาสภาพคล่องเกี่ยวข้องกับหนี้ครัวเรือน ซึ่งพบว่ามี ๑.๑๔ ล้านครัวเรือนอยู่ในสภาพเปราะบางเป็นหนี้ทั้งในระบบและนอกระบบที่ขาดความสามารถในการชำระหนี้ โดยประเด็นสภาพคล่องและหนี้ครัวเรือนเป็นกับดักของการฟื้นตัวทาง ศก. ของไทย (ประมาณการ ศก. ไทยปี ๖๓ รูป ๖)
ปัญหาของวิกฤต ศก. ขณะนี้ได้แพร่ระบาดลามจากภาคธุรกิจไปสู่ ศก. ฐานราก สะท้อนจากรายได้ของครัวเรือนลดลง ขณะที่จำนวนหนี้เปรียบเทียบไตรมาส ๒ ของปีนี้กับปีที่แล้วพบว่า มูลหนี้ประชาชนสูงขึ้นถึง ๕.๐๒ แสนล้านบาท จากการสำรวจของหน่วยราชการแห่งหนึ่งพบว่า ประชาชนยากจนมากกว่าเดิม มีการเปรียบเทียบว่าวิกฤต ศก. ครัวเรือนครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อประชาชนมากกว่าวิกฤตต้มยำกุ้งที่เกิดขึ้นเมื่อสองทศวรรษที่ผ่านมา จากการสำรวจคนยากจนในเมืองรายได้หดตัวสูง อาชีพอิสระรายได้ลดลงประมาณ ๓๐% หากเป็นอาชีพด้านท่องเที่ยวรายได้หายไปสูงถึง ๖๐% เคยสอบถามแท๊กซี่รายได้จากผู้โดยสารหายไปถึง ๑ ใน ๔ ขณะที่กลุ่มรับจ้างกินเงินเดือนโอทีหรือค่าล่วงเวลาแทบไม่มีการสะท้อนจากกำลังการผลิต อก. ที่ยังมีส่วนเกินสูง บางแห่งทำงานไม่เต็มเวลาหรือให้หยุดงานโดยได้รับค่าจ้างบางส่วนมีจำนวนเป็นหลักแสนคน (มาตรา ๗๕) ที่โชคร้ายอาจถูกให้ออกจากงานทั้งเลิกจ้างและ/หรือสมัครใจลาออกมีจำนวนไม่น้อยกว่า ๖.๑๓ แสนคน (ความยากจนและความเหลื่อมล้ำของไทย ปี ๖๑-๖๒ รูป ๗)
ผลจากการสำรวจดังกล่าวยังพบว่า กลุ่มตัวอย่างที่เป็นแรงงานได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง เช่น ไม่มีเงินจ่ายค่าเช่าบ้าน ค่าผ่อนรถ ค่าผ่อนบ้านหรือแม้แต่ค่าเล่าเรียนลูก ตลอดจนตัวเลขการนำข้าวของไปจำนำมีจำนวนสูงขึ้น ข้อมูลที่กล่าวนี้ได้มาจากรายงานภาวะสังคมไทยไตรมาส ๓/๒๕๖๓ ของสศช. จากที่กล่าวอนุมานได้ว่าสัญญาณ ศก. ในช่วงที่ผ่านมาเริ่มส่อเค้าไปในทางบวก แต่สภาวะสังคมยังมีความเปราะบางสูงจากความยากจนและหนี้ครัวเรือนที่มากขึ้นๆ
สิ่งที่ตระหนักรู้ได้คือ ศก. ปี ๖๔ จะปรับตัวเป็นบวกดีกว่าปีนี้ แน่นอนไม่มีใครเถียง แต่ต้องเข้าใจว่าการฟื้นตัวหรือ ศก. ที่เป็นบวกเป็นการเปรียบเทียบกับตัวเลขปีนี้ที่เกิดวิกฤต สธ. รุนแรงสุดในรอบร้อยปี ทำให้ดัชนีชี้วัด ศก. ทุกตัวล้วนหดตัว “ปีหน้าการขยายตัวเป็นบวกไม่ได้บอกว่าศก. ไทยหายป่วย” แต่เป็นอาการไข้ที่ลดลงและกำลังซื้อของประชาชนยังคงอ่อนแรง
ต้องยอมรับว่า ศก. ที่ดีขึ้นส่วนหนึ่งมาจากมาตรการกระตุ้น ศก. ของ รบ. เช่น “จ่ายคนละครึ่ง”ที่การลง ทะเบียนมีประสิทธิภาพโดยเฉพาะเงินที่จ่ายสมทบให้กับแม่ค้า-พ่อค้าสามารถเข้าถึงได้ในวันรุ่งขึ้น ทำให้มีความมั่นใจทั้งผู้ซื้อ-ผู้ขายต่างแฮปปี้มีเงินหมุนเวียนเข้าไปในระบบ ศก. เป็นแสนล้าน โครงการคล้าย ๆ เช่นนี้คงต้องทำต่อเนื่องเพราะจะหวังพึ่งการฟื้นตัวของตลาดแรงงานในระยะสั้นคงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ
การหวังว่า การลงทุนใหม่หรือนักท่องเที่ยวต่างชาติจะแห่กันมาเหมือนก่อนโควิดระบาดยังเป็นเรื่องห่างไกลอย่างน้อย ๒ ปี มาตรการกระตุ้น ศก. จึงยังเป็นสิ่งที่จำเป็น แต่ควรออกเป็นแบบแพ็คเกจไม่ใช่ “ทำไปคิดไป” อาจทำให้เงินที่มีน้อยกระจัดกระจาย ที่สำคัญต้องใส่เงินให้ตรงจุดกลุ่มเปราะบางไม่ใช่เหวี่ยงแหอย่างที่เป็นอยู่
สำหรับมนุษย์เงินเดือนจากนี้ไปอย่างน้อยจนไปถึงกลางปีหน้าคงต้องประคองตัวให้ดี ทำตัวเองให้มีคุณค่าอย่าเป็นคนตกยุค-ตกสมัยที่นายจ้างเขาจะโละทิ้ง แม้แต่ บ.ใหญ่ๆ ช่วงนี้เขาปรับฐานมีโครงการ “ER” หรือสมัครใจลาออก เอาคนออกทีเป็นร้อย พิษสงของวิกฤต ศก. จากไวรัสโควิด-๑๙ ยังคงไม่หมดไปง่ายๆ
ปัญหาขณะนื้ คือรายได้ของแรงงานทั้งในระบบ-นอกระบบรวมถึงเกษตรกรลดน้อยลง ขณะที่รายจ่ายคงเดิมทำให้เงินไม่พอใช้ หนี้ครัวเรือนจึงสูงขึ้น มี บ.ที่เกี่ยวข้องกับทรัพยากรมนุษย์แห่งหนึ่งทำการสำรวจการปรับค่าจ้าง-โบนัสปลายปีไปจนถึงต้นปีหน้าพบว่า ธุรกิจที่ยังสามารถปรับค่าจ้างโดยเฉลี่ยอัตรา ๒.๕ ของฐานรายได้มีต่ำสุดในรอบ ๑๐ ปี ขณะที่ธุรกิจส่วนใหญ่ประมาณ ๖๒% ของแบบสำรวจระบุว่า ยังไม่ตัดสินใจว่าจะมีความสามารถในการจ่ายโบนัสได้หรือไม่ สำหรับธุรกิจที่ยังจ่ายโบนัสระบุว่าจะจ่ายน้อยกว่าปีที่ผ่านมา เอาว่าในเวลาเช่นนี้มนุษย์เงินเดือนที่ยังมีงานทำ การปรับเงินเดือนหรือโบนัสจะได้หรือไม่ได้หรือได้น้อยกว่าเดิม คงไม่ใช่สาระ...ที่สำคัญธุรกิจที่เราทำงาน ปีหน้ายังไม่เจ๊งหรือยังมีงานทำก็บุญโขแล้วครับ
นี่คือ รายงานสภาวะ ศก.ไทย จากไตรมาส ๓ ปี ๖๔ วินิจฉัยได้ว่า “อาการป่วยลดลง” เนื่องจากพิษสงของวิกฤตโควิด ยังคงไม่หมดไปง่าย ๆ แต่มีสัญญาณที่ดีว่า ศก. จะค่อยๆ กลับมาเป็นบวกในปี ๖๕ จำเป็นต้องประคองตัวจนไปถึงกลางปีหน้า จึงจะเห็นการฟื้นตัวอย่างชัดเจน

รูปภาพประกอบ

รูปภาพประกอบ