เรื่องเล่าด่านรันตู ประจำวันที่ 28 พฤศจิกายน 2563

เรื่องเล่าด่านรันตู ประจำวันที่ 28 พฤศจิกายน 2563

วันที่นำเข้าข้อมูล 28 พ.ย. 2563

วันที่ปรับปรุงข้อมูล 29 พ.ย. 2565

| 313 view
     เช้านี้ ไม่มีผู้ลงทะเบียนกลับไทยวันที่ ๒๘ พ.ย. ๖๓
     การแพร่ระบาดโควิดใน มซ. วันที่ ๒๗ พ.ย. มีสถิติสูงขึ้นกว่าเมื่อวาน โดยมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ ๑,๑๐๙ คน อยู่ในรัฐซาบาห์ ๔๔๑ คน รัฐเนกริเซมบิลัน ๑๖๗ คน รัฐสลังงอร์ ๑๗๕ คน เกาะปีนัง ๖๔ คน รัฐเปรัค ๔๒ คน รัฐยะโฮร์ ๓๓ คน กรุงกัวลาลัมเปอร์ ๑๕๔ คน รัฐเคดาห์ ๒๕ คน รัฐกลันตัน ๕ คน รัฐปาหัง ๓ คน และมีผู้ติดเชื้อสะสม ๖๑,๘๖๑ คน ผู้เสียชีวิตสะสม ๓๕๐ คน (เพิ่มขึ้น ๒ คน) (สถิติข้อมูลการระบาดโควิด รูป ๑)
 
     มซ. กำหนดใช้มาตรการบังคับตรวจหาเชื้อโควิด-๑๙ สำหรับ รง. ต่างชาติที่ทำงานอยู่ใน มซ. โดยจะเริ่มตั้งแต่วันที่ ๑ ธ.ค. ๖๓ เป็นต้นไป และนายจ้างจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายดังกล่าว
เรื่องเล่าด่านรันตู วันนี้ขอเสนอเรื่อง “มุมมองเอกชนต่อมาตรการส่งเสริม SMEs มซ.” เป็นตอนที่ ๒ ต่อจากเรื่อง “มซ. ตั้งเป้าให้ SMEs ทำรายได้เป็น ๕๐% ของ GDP” ที่ได้นำเสนอไปเมื่อวันที่ ๒๖ พ.ย. ตอนนี้มาดูกันว่า ภาคเอกชน มซ. มีข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะต่อมาตรการส่งเสริม SMEs ของรัฐ อย่างไรบ้าง
 
     จากการที่ รบ. มซ. จะขยายแรงจูงใจพิเศษทางด้านภาษีของ Penjana (โครงการสร้างงานกระตุ้น ศก.) เพื่อดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ระหว่างปี ๒๐๒๑ - ๒๐๒๒ นั้น (โครงการ Penjana รูป ๒)
 
     ภาคเอกชน มซ. เห็นว่า ควรขยายแรงจูงใจให้กับนักลงทุนเดิมที่ได้รับการอนุมัติให้ขยายการกระจายการลงทุนหรือโครงการใหม่ในปี ๒๐๑๙ ด้วย ซึ่งจะสร้างแรงจูงใจและมีประสิทธิผล โดยเฉพาะในแง่ของผลทวีคูณต่อซัพพลายเออร์ที่มีอยู่เช่น SMEs ซึ่งได้ดำเนินโครงการไปแล้ว และเห็นว่า ความช่วยเหลือทางการเงินของ รบ. ได้ผลมากกว่าการชดใช้เยียวยาหรือโครงการจับคู่ลงทุน และเป็นที่ต้องการมากกว่าสิทธิประโยชน์ทางภาษี (สถิติจำนวน SMEs รูป ๓)
     
     ปธ. สมาพันธ์ผู้ผลิต มซ. (Federation of Malaysian Manufacturers: FMM) นาย Soh Thian Lai ได้เรียกร้องให้ รบ. เร่งดำเนินการจดทะเบียนหลักประกันออนไลน์ เพื่อรวมทรัพย์สินที่เคลื่อนย้ายได้ เช่น เครื่องจักรสินค้าคงคลัง ทรัพย์สินที่จับต้องได้ และหวังว่าโครงการ National Supply Chain Finance Platform หรือ JanaNiaga จะเป็นตัวบ่งชี้ในฐานะผู้บุกเบิกการจดทะเบียนหลักประกันทางออนไลน์นี้ด้วย
 
     ทั้งหวังว่า JanaNiaga จะช่วยแก้ไขปัญหากระแสเงินสด (cash flow) สำหรับ SMEs ที่เป็นซัพพลายเออร์ให้กับ รบ. รวมถึง บ. ที่เชื่อมโยงกับ รบ. ตลอดจนช่วยเหลือ SMEs ในการขอสินเชื่อจากสถาบันการเงิน โดยสามารถใช้คำสั่งซื้อขาย (sales orders) เป็นหลักประกันในการกู้ยืมได้
 
     นอกจากนี้ Soh เห็นว่า ความตกลงหุ้นส่วน ศก. ระดับภูมิภาคที่ครอบคลุม (RCEP) นอกจากจะลดอุปสรรคทางการค้าแล้ว ยังจะดึงดูด บ. ต่างชาติให้ลงทุนในอาเซียนแบบบูรณาการ จะเป็นโอกาสทางการตลาดให้กับ SMEs โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากมีการส่งเสริมในเชิงรุกของโครงการ Industrial Linkage รวมถึงจูงใจให้นักลงทุนต่างชาติและ บ. ขนาดใหญ่ในท้องถิ่นเข้าร่วม จะช่วยให้ SMEs เข้าถึงทั้งห่วงโซ่อุปทานใหม่และที่มีอยู่แล้ว (supply chain)
 
     Soh ยังเรียกร้องให้ รบ. เพิ่มแรงจูงใจ โดย บ. สามารถได้รับสิทธิส่วนลด ๒ เท่า (double deduction) หักเป็นค่าใช้จ่ายในการวิจัยและพัฒนา (R&D) โดยอัตโนมัติ โดย รบ. ควรจัดตั้งกองทุนฝึกงาน (Apprenticeship Fund) เพื่อฝึกอบรมด้านเทคนิคและอาชีวศึกษา (Technical & Vocational Education and Training (TVET) โดยใช้เงินค่าธรรมเนียม (levy) ที่เก็บจาก รง. ต่างชาติ การฝึกอบรมที่ว่านี้จะช่วยปิดช่องว่างด้านทักษะของคนในท้องถิ่น ยกระดับความสามารถในการหารายได้ของกลุ่มที่มีรายได้น้อย (B40) และลดการพึ่งพา รง. ต่างชาติ
 
     ด้าน ปธ. สมาคม SMEs มซ. นาย Michael Kang กล่าวด้วยว่า RCEP จะเป็นประโยชน์ต่อ SMEs ในพื้นที่เนื่องจากพวกเขาจะสามารถเข้าถึงตลาดที่ใหญ่กว่ามาก และยังเป็นแหล่งวัตถุดิบและบริการในอัตราที่แข่งขันได้มากขึ้น (สาขาของธุรกิจ SMEs รูป ๔-๕)
Kang เห็นด้วยกับ งปม. ๒๐๒๑ ที่มีการขยายโครงการเงินอุดหนุนค่าจ้าง (wage subsidy) ให้กับภาคการท่องเที่ยว รวมถึงมีกองทุนเพิ่มเติมให้ความช่วยเหลือกับธุรกิจรายย่อย (Micro SMEs: MSMEs) ที่สามารถชำระเงินกู้ได้ และจัดสรรงบอีก ๑๕๐ ล้านริงกิต สำหรับโครงการ SME Digitalisation & Automation Grant
 
     นอกจากนี้ ใน งปม. ๒๐๒๑ รบ. ได้จัดสรรงบ ๑๕๐ ล้านริงกิต สำหรับโครงการ Shop Malaysia Online ร่วมกับแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ คาดว่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ขายในพื้นที่ ๕ แสนราย อีก ๑๕๐ ล้านริงกิต เป็นค่าใช้จ่ายการเข้าร่วมโครงการฝึกอบรม ในการรณรงค์เรื่องอีคอมเมิร์ซกับ SMEs ให้พัฒนาเป็นธุรกิจดิจิทัล และจัดสรร ๓๕ ล้านริงกิต เพื่อส่งเสริมผลิตภัณฑ์และบริการที่ผลิตโดย มซ. ภายใต้ Trade And Investment Mission ด้วย
 
     ตามสถิติของ คกก. บริษัทแห่ง มซ. (Companies Commission of Malaysia : CCM) ระบุว่า ธุรกิจ SMEs ๕๐,๒๖๙ ราย ได้เลิกกิจการตั้งแต่เดือน มี.ค. ๖๓ ที่มีการใช้มาตรการ MCO ซึ่งคิดเป็น ๕.๕% ของ SMEs (ที่มีกว่า ๙๐๗,๐๐๐ รายในประเทศ)
ด้าน ปธ. สมาคมเครือข่ายค้าปลีก มซ. (Malaysia Retail Chain Association : MRCA) นาย Shirley Tay เสนอว่า มาตรการอื่นๆ ที่จะช่วย SMEs ได้แก่ มาตรการจูงใจทางภาษีสำหรับผู้ค้าปลีกในพื้นที่ - การลดภาษีการขายและบริการ (sales and service tax : SST) ๕๐% และเงินคืนพิเศษสำหรับภาษีนิติบุคคลเป็นเวลา ๖ เดือน มาตรการจูงใจพิเศษสำหรับห้างสรรพสินค้า ที่คิดค่าเช่ากับผู้เช่าเดิมในอัตราพิเศษ และลดหย่อนภาษีเงินได้ ๑% ในทุกระดับรายได้ เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายของผู้บริโภค
 
     รบ. ควรจัดตั้ง one-stop centre สำหรับ SMEs เพื่อให้การดำเนินงานด้านกองทุนระหว่างกระทรวงต่างๆ กระชับขึ้น (streamline) ซึ่งจะช่วยให้ SMEs สามารถมุ่งเน้นเรื่องธุรกิจมากกว่าขั้นตอนการยื่นสมัครกองทุน เชื่อว่า หากปรับให้กระบวนการยื่นขอรับการสนับสนุนจากกองทุนง่ายขึ้น จะส่งผลต่ออัตราความสำเร็จของ SMEs ด้วย
 
     เกี่ยวกับการส่งเสริม SMEs ในการนำดิจิทัลมาใช้งานนั้น รบ. สามารถให้คำแนะนำทางเทคนิคอย่างมืออาชีพ ซึ่งจะช่วยให้มีการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจ สร้างกลุ่มคนที่มีความสามารถด้านดิจิทัล และลดอุปสรรคทาง กม. ได้
 
     ด้านความร่วมมือด้าน SMEs ไทย-มซ. นั้น ธ. พัฒนา SMEs (ธพว.) และ EXIM Bank (ธสน.) ของไทย ได้ลงนาม MOU กับ ธ.พัฒนา SMEs และ EXIM Bank ของ มซ. เมื่อ ๑๖ ก.พ. ๖๓ โดยมี Dr. Mohd Hatta Ramil รมช. ก.พัฒนาวิสาหกิจและสหกรณ์ มซ. และ รมว. พณ. นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ และ มท. ๒ นายนิพนธ์ บุญญามณี ร่วมเป็นสักขีพยาน เพื่อร่วมมือส่งเสริมการพัฒนาธุรกิจของผู้ประกอบการ SMEs ของทั้ง ๒ ปท. ให้เติบโตและเข้มแข็งอย่างยั่งยืน ตลอดจนส่งเสริมการค้าชายแดนระหว่างกัน (MOU ด้าน SMEs ไทย-มซ. รูป ๖)
 
     นี่คือ ข้อเสนอแนะของภาคเอกชน มซ. ที่เรียกร้องให้ รบ. มซ. ช่วยเหลือ เพื่อให้ SMEs สามารถกลับมายืนหยัดในการดำเนินธุรกิจที่จะเป็นกระดูกสันหลังของ ศก. มซ. ได้ต่อไป

รูปภาพประกอบ

รูปภาพประกอบ

ข่าวใกล้เคียง

ข่าวใกล้เคียง